ทุกที่บนโลกล้วนมีเรื่องราว โดยเฉพาะสถานที่เก่าแก่นับร้อยนับพันปีอย่างเมืองบริสเบน แต่ละสถานที่ล้วนมีเรื่องลี้ลับและตำนาน ที่มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ในอดีต รวมถึงจินตนาการของผู้คนในท้องถิ่นที่ถูกบอกเล่ากันมาปากต่อปาก แต่ก็สามารถเพิ่มความลึกลับและน่าสนใจให้กับบรรยากาศของเมืองได้ ยิ่งใกล้ถึงเทศกาลฮัลโลวีนในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมด้วย มาคลุมโปง ฟังเรื่องน่ากลัว ๆ กัน
เรื่องผีที่สุสาน Toowong และ สุสาน Goodna
ที่มาภาพ : tripadvisor.co.uk
เริ่มต้นที่ Toowong Cemetery สุสานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของบริสเบน ที่มีอายุยาวนานถึง 150 ปี และเป็นที่รู้จักในด้านความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวน่ากลัว จนถูกตั้งสมญานามว่า “Spook Hill” อย่างไรก็ตามที่นี่ก็เป็นจุดที่มีผีสิงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง ตำนานที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกับผีของผู้หญิงชื่อเทเรซา ซึ่งถูกฝังอยู่ที่นั่นในปี 1920 เทเรซาเป็นหญิงสาวที่เสียชีวิตอย่างลึกลับ และเธออาจตกเป็นเหยื่อของการถูกจับฆาตกรรมก่อนวัยอันควร และว่ากันว่าผีของเธอสวมชุดสีขาว ชอบเดินเตร่ในสุสานในเวลากลางคืน ซึ่งมักพบเห็นใกล้หลุมศพของเธอ คนที่พื้นที่รายงานว่าได้ยินเสียงร้องหรือเสียงกระซิบเบา ๆ และขนลุกเมื่อได้ไปเยี่ยมหลุมศพของเธอ
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่เป็นชัดเจนมาสนับสนุนเรื่องราวของเทเรซา แต่ตำนานเรื่องผีของเธอ ยังคงดึงดูดจินตนาการของผู้ที่มาเยี่ยมชมสุสานที่นี่ จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องน่าขนลุกของเมืองบริสเบน และเป็นเรื่องยอดนิยมของ Ghost Tours ทัวร์ล่าท้าผีอีกด้วย หรือมีอีกเรื่อกว่า หากจอดรถไว้บริเวณทางลาดซอยหมายเลข 12 ภายในสุสานและปล่อยเกียร์ว่างไว้ รถจะถูกดันขึ้นเนินอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เกิดจากผีสองสาวพี่น้อง ที่ถูกรถชนเสียชีวิต มาหยอกล้อกับรถผู้มาเยือนนั่นเอง
ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องผีหรือไม่ก็ตาม เรื่องราวของสุสาน จะเพิ่มเรื่องราวที่น่าขนลุกให้กับประวัติศาสตร์ของบริสเบน และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงตำนานอันยาวนานของเมือง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเล้นลับที่ Goodna Cemetery สุสานที่เป็นที่ตั้งของหลุมศพจำนวนมากที่ไม่มีเครื่องหมาย ซึ่งเต็มไปด้วยอดีตผู้ป่วยของโรงพยาบาลจิตเวช ในปี 1945 มีจำนวนศพมากถึง 200 ศพถูกนำไปฝังยังตำแหน่งที่ไม่ได้รับการยืนยัน ที่แม้ว่าจะมีการสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นแล้วก็ตาม ว่ากันว่าตอนนี้ผีของผู้ป่วยเหล่านี้เดินเตร่อยู่ในสุสาน กล่าวกันว่าผู้มาเยี่ยมชมสุสาน Goodna เมื่อกลับไปจะมีรอยขีดข่วนและรอยฟกช้ำตามร่างกายไว้โดยไม่มีสาเหตุ มีผู้เยี่ยมชมเล่าเรื่องราวของค้างคืนอยู่ในสุสาน เพราะรถของพวกเขาสตาร์ทไม่ติด แต่สุดท้ายก็หนีออกจากสุสานโดยมีรอยขีดข่วนตามด้านนอกของรถ นักล่าผีได้ทำการทดสอบที่นี่เช่นกัน โดยพวกเขาคลุมรถด้วยแป้งก่อนจะขับผ่านไป เมื่อกลับถึงบ้านเพื่อตรวจดูรถแล้วพบกับลายนิ้วมือรอบคัน...น่าขนลุกใช่มั้ยล่ะ
ผีแห่งเรือนจำ Boggo Road
ที่มาภาพ : boggoroadgaol.com
Boggo Road Gaol เป็นคุกที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองของ Dutton Park คุกแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันมืดหม่น เนื่องจากมีนักโทษ 42 คนถูกแขวนคอที่นี่ ที่นี่เคยเป็นเรือนจำที่โด่งดังที่สุดของรัฐควีนส์แลนด์ จากสภาพคุกที่เลวร้ายและเรื่องราวการหลบหนีของนักโทษอันโด่งดังในปี 1989 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเรื่องลี้ลับอันน่ากลัวมากมาย เรื่องราวที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกับผีของ Ernest Austin ชายคนสุดท้ายที่ถูกแขวนคอที่เรือนจำ Boggo Road ในปี 1913 ในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 11 ขวบ เค้าว่ากันว่าวิญญาณของเขายังคงอยู่ในเรือนจำ และผู้เยี่ยมชมบางคนรายงานว่ารู้สึกหนาวสั่นเมื่อยืนใกล้สถานที่ประหารชีวิต
ผู้มาเยี่ยมและเจ้าหน้าที่รายงานว่าได้ยินเสียงที่ไม่สามารถอธิบายได้ เห็นร่างเงาผ่านกำแพง และรู้สึกถึงความน่าขนลุกภายในกำแพงเรือนจำ หรือแม้แต่มารัดคอนักโทษภายในเรือนจำ นอกจากนั้นยังมีเสียงหัวเราะคล้ายกับเสียงปีศาจ ก้องไปทั่วห้องโถง และความจริงที่ว่าออสตินหัวเราะเยาะขณะที่เขาถูกแขวนคอ ก็อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้
ผู้ชื่นชอบและนักล่าผีมักจะมาเยี่ยมชมเรือนจำ Boggo Road Gaol เพื่อค้นหาประสบการณ์ชวนขนหัวลุก ทำให้ที่นี่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ในประวัติศาสตร์ของเมืองบริสเบน ไม่ว่าจะเชื่อเรื่องผีหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงตำนาน และไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หากสนใจที่จะสำรวจด้านลึกลับของบริสเบน ทัวร์ผีในเรือนจำพร้อมไกด์ หรือ Ghost Tour อาจเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและชวนให้พิสูจน์ถึงความพิศวง
อุโมงค์ลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้เมืองบริสเบน
ที่มาภาพ : au.news.yahoo.com
มีตำนานที่เล่ากันว่า ใต้ดินเมืองบริสเบนที่เราอยู่ มีเครือข่ายอุโมงค์ที่สร้างตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 อุโมงค์เหล่านี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเพื่อการขนส่งสินค้า การระบายน้ำ และแม้แต่เป็นที่หลบภัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจก็คือ อุโมงค์บางแห่งอาจถูกนำมาใช้เพื่อกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การค้าของเถื่อน อีกด้วย
เช่นที่ไปรษณีย์ Australian Post ใจกลางเมืองบน Queen Street อาคารเก่าแก่และได้ถูกขึ้นทะเบียนอาคารโบราณตั้งแต่ปี 1879 ซึ่งเคยเป็นโครงสร้างสำหรับนักโทษหญิง บังเอิญได้ค้นพบอุโมงค์ ที่อยู่ใต้ดินในสำนักงานทำการ ลึกลงไปเส้นทางใต้ดินเป็นพื้นที่แคบ ๆ มีบันไดหิน ผนังอิฐ และเพดานกรุโลหะ ผู้คนเชื่อว่าอุโมงค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางหลบหนีใต้ดิน ที่สร้างโดยนายพล Douglass MacArthur ชาวอเมริกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งขณะนี้อุโมงค์ได้ปิดตายถาวร คาดว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้เมือง
แม้ว่าอุโมงค์ใต้ดินหลายแห่งจะถูกปิดตาย และไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ แต่ก็มีรายงานเป็นว่ามีนักสำรวจและนักประวัติศาสตร์ในเมือง ค้นพบทางเดินและห้องใต้เมืองที่ถูกลืม ว่ากันว่าอุโมงค์เหล่านี้ทอดยาวอยู่ใต้อาคารโบราณบางส่วนในย่านใจกลางเมือง เชื่อมโยง ปะติดปะต่อ จนเผยให้เห็นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ของบริสเบน
หลุมฝังศพของฆาตกรต่อเนื่อง Jack the Ripper
ที่มาภาพ :wikipedia.org
หรือเมืองบริสเบน อาจเป็นสถานที่พำนักแห่งสุดท้ายของฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในโลก? นักประวัติศาสตร์บางคนดูเหมือนจะคิดเช่นนั้น มีข่าวลือมานานแล้วว่า "Jack the Ripper" ฆาตกรต่อเนื่องสุดสะพรึงจากเมืองลอนดอน เดินทางโดยเรือมายังออสเตรเลียหลังจากก่อเหตุฆาตกรรม บางคนเชื่อว่าจริง ๆ แล้วฆาตกร Jack ก็คือ Walter Thomas Porriott ซึ่งร่างของเขาได้ถูกฝังไว้ข้างภรรยาที่ชื่อว่า Bessie ที่สุสาน Toowong นาย Porriott เสียชีวิตในปี 1952 เขาประกาศตัวเองว่าเป็น “แพทย์” โดยที่ไม่มีพื้นฐานทางการแพทย์หรือการศึกษาใด ๆ จากลักษณะการสังหาร สันนิษฐานว่า Jack the Ripper มีพื้นฐานทางการแพทย์หรือมีความรู้อยู่บ้าง และในความเป็นจริงบริเวณหลุมศพไม่มีชื่อของเขาด้วยซ้ำ แต่กลับมีข้อความว่า "Bessie เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1957 และสามีของเธอ"
เรื่องราวของการสังหารอันน่าสยดสยอง เกิดขึ้นระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนในปี 1888 ในเมืองลอนดอนตะวันออก ในขณะที่การฆาตกรรมผู้หญิง 11 คน มาจากฆาตกรต่อเนื่อง ตำรวจลอนดอนเชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 5 รายในช่วงระยะเวลาสามเดือนเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับ Jack the Ripper
การฆาตกรรมก็ยุติลงในเดือนพฤศจิกายน 1888 ตรงกับช่วงที่นาย Porriott ได้ล่องเรือไปออสเตรเลียและได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา จนเวลาผ่านไปเมื่อปี 1997 Steven Wilson เหลนชายของ Porriott เชื่อว่าปู่ทวดของเขาคือฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังการสังหาร เพราะปู่ทวดเป็นที่รู้จักว่ารังเกลียดผู้หญิงมาก โดยเฉพาะโสเภณี และเมื่อเทียบกับลายมือของ Porriott ก็คล้ายคลึงกับนาย Jack ฆาตกรผู้ส่งจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์ลอนดอนในช่วงเวลาการสังหารหมู่ อีกทั้งบ้านเกิดของ Porriott อยู่ในย่าน Limehouse ใกล้กับ Whitechapel เมืองฝั่งตะวันออกของลอนดอน ซึ่งเป็นย่านที่ฆาตกรคนนี้อาศัยอยู่อีกด้วย
แม้ว่าจะไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า Porriott คือ Jack the Ripper แต่มันช่างเหมาะเจาะ ที่หลังจากก่อเหตุฆาตกรรมในลอนดอน ผู้ต้องสงสัยอย่าง Porriott เลือกที่จะล่องเรือไปยังเมืองบริสเบนและไม่กลับมายังลอนดอนอีกเลย
เรื่องราวอันลึบลับที่ Breakfast Creek Hotel
ที่มาภาพ : www.theurbanlist.com
จะมีสักกี่ที่ให้เราได้นั่งกินข้าวในพื้นที่ที่ถูกขึ้นชื่อว่าผีดุ! ใครที่เดินทางไปในย่าน Albion คงมีโอกาสเห็นอาคารที่มีโครงสร้างสถาปัตยกรรมสไตล์ Renaissance และยังเปิดให้บริการอยู่อย่างที่ Breakfast Creek Hotel ความยาวนานมาพร้อมกับเรื่องราวมากมาย อย่างการตายของ Lord Mayor และผู้ก่อตั้งโรงแรมที่มีชื่อว่า William MacNaughton Galloway ในช่วงปี 1895 เขาได้ตกจากหน้าต่างชั้นสองของโรงแรม เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพบว่ามีอาการเมาในขณะที่เขาเสียชีวิต สาเหตุเกิดจาก Galloway ต้องการหลบหนีจากการถูกกักขังโดยบาร์เทนเดอร์ประจำโรงแรม William Floyd เพื่อต้องการให้เขาระงับความเมาที่ดื่มต่อเนื่องมาหลายวัน ว่ากันว่าทุกวันนี้ผีของเขายังอยู่ที่บริเวณเดิมของโรงแรม และพนักงานยังคงพบเห็นและได้ยินเขาเป็นประจำ
แม้ว่าทุกวันนี้ Breakfast Creek Hotel จะไม่เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมเหมือนในอดีต แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นผับบาร์, Beer Garden และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง โดยมีเมนูยอดนิยมอย่างสเต็กเนื้อ ทานแกล้มกับเบียร์โลคอลประจำรัฐ XXXX
หลายเรื่องเป็นเรื่องเล่าที่ถูกพูดต่อ ปากต่อปากกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งหาที่มาเป็นหลักฐานชัดเจนไม่ได้แน่ชัด อย่างไรก็ตามอ่านจบแล้วเราควรฟังหูไว้หู อ่านเพื่อความบันเทิงแต่ก็ไม่ลบหลู่ ไปเล่าต่อให้เพื่อน ๆ หรือคนใกล้ตัวฟัง ทำให้เรื่องน่าขนลุกให้กลายเป็นเรื่องน่าสนุกชวนค้นหาต่อไป
อ้างอิงข้อมูล
- www.couriermail.com.au
- www.theurbanlist.com
- www.queensland.com
- au.news.yahoo.com
- www.brisbanetimes.com.au
- www.breakfastcreekhotel.com/history