Charlotte Plains, Cunnamulla QLD
ที่มาภาพปก : charlotteplains.com.au
หากเปิดดูเว็บไซด์การท่องเที่ยวภายในรัฐควีนส์แลนด์ ชื่อเมืองที่อยู่บนหน้าจอก็มีอยู่ไม่กี่ชื่อ หนีไม่พ้น Brisbane, Gold Coast อย่างมากก็ Cairns และ Whitsunday แต่รู้หรือไม่ว่าบนพื้นที่กว่า 1.853 ล้านตารางกิโลเมตรเมตรนี้ ยังมีชุมชนเมืองเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ แถมยังมีที่ท่องเที่ยวที่มากมายและน่าสนใจไม่แพ้เมืองใหญ่ ใครที่เบื่อกับการเที่ยวแบบเดิม ๆ แบบที่ต้องเจอกับผู้คนล่ะก็ ลองมาทำความรู้จักเมืองที่ห่างไกลความวุ่นวายเหล่านี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่วางแผนขับรถเที่ยวสไตล์ Road trip ที่ไม่ควรพลาดที่จะแวะจอดหรือค้างคืนสักคืนสองคืน
ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Cairns
อย่างที่ทราบกันดีว่า รัฐควีนส์แลนด์มีขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศ มีลักษณะภูมิประเทศหลากหลาย ไม่ว่าจะแนวชายฝั่ง ชายหาด และแนวปะการังทางตะวันออก, ที่ราบสูง หุบเขาในตอนกลาง รวมไปถึงทะเลทรายทางตะวันตก ติดกับรัฐ Northern Territory, New South Wales และ South Australia ส่วนทางตอนบนสุดของรัฐ มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนชื้น และใกล้กับประเทศปาปัวนิวกีนี สามารถพบป่าดิบชื้นได้ เรียกได้ว่ามีความหลากหลายทั้งสภาพอากาศและธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส
Stanthorpe
ที่มาภาพ : movetomore.com.au
เมืองแห่งฟาร์มที่อยู่ทางตอนใต้ติดกับรัฐ New South Wales เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทางบนเส้น New England Highway ซึ่งเป็นถนนสัญจรข้ามระหว่างรัฐจาก Toowomba จนถึงเมือง Newcastle ใน NSW เป็นเมืองที่เริ่มต้นจากการตั้งรกรากบริเวณห้วยน้ำ Quart Pot Creek ใจกลางเมือง จากการค้นพบแหล่งดีบุกขนาดใหญ่ในอดีต ทำให้ผู้คนจากหลากหลายต่างเข้ามา ทำให้เมืองขยายตัวขึ้น โดยชื่อเมือง “Stanthorpe” เกิดจากคำว่า “Stannum” ภาษาละตินที่แปลว่าดีบุก (Tin) กับคำว่า “Thorpe” ภาษาอังกฤษโบราณที่แปลว่าหมู่บ้าน (Village)
ที่มาภาพ : granitebeltwinecountry.com.au
ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพื้นที่ทางการเกษตรและโรงงาน มีจำนวนประชากรประมาณ 5,400 กว่าคน ผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตรและปศุสัตว์เป็นหลัก รอบตัวเมืองจึงเต็มไปด้วยฟาร์มสัตว์ และวิวธรรมชาติสวย ๆ มากมาย เช่นที่ Mount Marlay Lookout จุดชมวิวเมืองมุมสูง, Granite Street Bridge สะพานโบราณข้ามห้วยน้ำ นอกจากนี้ในเมืองยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างอาคารบ้านเมืองตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 หลาย ๆ แห่ง ถูกขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์ ได้แก่ El Arish, Masel Residence, รวมไปถึงที่ Stanthorpe Heritage Museum พิพิธภัณฑ์เมืองที่บอกเล่าเรื่องราวอันรุ่งเรืองในอดีตและ The Stanthorpe Regional Art Gallery ที่โชว์งานศิลปะจากคนท้องถิ่นทั้งแบบถาวรและหมุนเวียน ออกไปนอกตัวเมือง ที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในอุทยานแห่งชาติ Girraween National Park ที่มีเส้นทางขึ้นเขา เพื่อชมหินขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท้าลมแบบไม่มีวันล้ม
ที่มาภาพ : southernqueenslandcountry.com.au
ของดีประจำเมืองหนีไม่พ้นผลผลิตทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นนม, ชีส, ผลไม้ที่มีเม็ดแข็ง (Stone Fruite) อย่างลูกพีช พลัม เชอร์รี่, แอปเปิ้ล, โดยเฉพาะไร่องุ่น ทำให้มีโรงไวน์ประจำเมืองควรแวะ อย่างเช่นที่ Ridgemill Estate, Ravenscroft Vineyard, Casley Mount Hutton Winery ด้วยสภาพอากาศบริเวณทางตอนใต้ของรัฐค่อนข้างเย็นกว่าทางตอนเหนือ ในช่วงเดือนกรกฏาคมนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 15 องศา และเย็นสุดตอนกลางคืนถึง 1 องศา แต่ในช่วงหน้าร้อนต้นปี ที่นี่อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15-27 องศา เหมาะมากที่จะหนีร้อนลงมาในช่วงปีใหม่ หรือใครที่กำลังเดินทางไปเที่ยว NSW อย่าลืมที่จะแวะจอด Stanthorpe พักสักคืนสองคืนก็น่าสนใจเหมือนกัน
Montville
ที่มาภาพ : brownsigns.net.au
หากมีโอกาสได้ไปเที่ยวแถว Sunshine Coast หากมีเวลา ลองขับรถแวะมายังพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้ เมืองที่มีประชากรหลักร้อยแต่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่แพ้เมืองใหญ่ โดยเฉาะอย่างยิ่ง คนที่ชื่นชอบการเที่ยวธรรมชาติ เพราะเมืองนี้เต็มไปด้วยที่พักรูปแบบกระท่อมและบังกะโลอันแสบสงบในป่า รวมไปถึงเส้นทางเดินป่ายูคาลิปตัสอย่าง Sunshine Coast Hinterland Great Walks ที่มีความยาวถึง 58.8 กิโลเมตร มีจุดตั้งแคมป์สามจุด มีน้ำตกและจุดชมวิวให้เราแวะพักชมความงามของป่าเขา อย่างที่ Baroon Lookout, Mapleton Falls Lookout และหากเปิดแผนที่บน Google Maps จะเห็นพื้นที่แอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Lake Baroon ทะเลสาบที่สามารถไปนั่งปิกนิกริมน้ำ ชมวิวน้ำนิ่งอันแสบสงบ อุทยานแห่งชาติชื่อดังประจำเมืองคือ Kondalilla National Park มีน้ำตกหลายแห่งให้ชมวิวและแช่ตัว
ที่มาภาพ : queensland.com
ของดีประจำเมืองหนีไม่พ้นไวน์ ที่ Flame Hill Vineyard ไร่องุ่นชื่อดังประจำเมืองที่มอบประสบการณ์ดื่มไวน์คุณภาพระดับรางวัล อยู่บริเวณที่สูงกว่า 480 เมตร จากระดับน้ำทะเล ด้วยทำเลในการปลูกที่เหมาะสมแล้ว ยังมีกระท่อมที่พักอันแสนสงบ ท่ามกลางวิวภูเขามุมสูง เหมาะสำหรับทั้งครอบครัวและคู่รัก
Hughenden
ที่มาภาพ : visithughenden.com.au
เปลี่ยนบรรยากาศธรรมชาติป่าเขา สู่ภูเขาหินสูงใหญ่ ใจกลางควีนส์แลนด์ เมืองเล็ก ๆ ที่เดินทางได้จาก Townsville อยู่ระหว่างทางไป Mount Isa ถ้าพูดถึงแหล่งร่องรอยยุคดึกดำบรรพ์ ในออสเตรเลีย เราคงไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวมากเท่าไหร่ แต่ที่ Hughenden คือเมืองที่ได้รับสมญานาม “ดินแดนแห่งไดโนเสาร์” คงไว้ซึ่งความโบราณเมื่อหลายล้านปี เช่น ทะเลสาบโบราณที่มีอายุกว่า 100 ล้านปี อีกทั้งยังค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์สายพันธุ์ “Muttaburrasaurus” ที่มีความสูงถึง 7 เมตร และซากฟอสซิสมากมาย ที่ปัจจุบันถูกจัดแสดงไว้ที่ Flinders Discovery Centre หรือใครที่มีแพชชั่นเรื่องไดโนเสาร์โดยเฉพาะ ปัจจุบันมีเส้นทางท่องเที่ยว Australian Dinosaur Trail ที่จะพาเด็ก ๆ และครอบครัว ชมร่องรอยยุคดึกดำบรรพ์บนสถานที่จริง เริ่มต้นที่ Hughenden และเมืองใกล้เคียงอย่าง Winton และ Richmond ส่วนแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมือง ไม่ใช่อนุสาวรีย์หรือรูปปั้นที่ไหน แต่เป็น Coolabah Tree ต้นไม้เก่าแก่สัญลักษณ์การค้นพบพื้นที่ใหม่ของนักสำรวจในอดีตทั้งสอง "Burke" และ "Wills"
ที่มาภาพ : visithughenden.com.au
นอกจากนี้เมือง Hughenden คือดินแดนแห่งการทำฟาร์มสัตว์ เนื่องจากเต็มไปด้วยลานหญ้ากว้าง เหมาะสำหรับการเลี้ยงแกะ, วัว, ควาย แต่เพราะเมืองนี้มีสภาพอากาศที่แปรปรวน ภาวะแล้งหรือน้ำท่วมคือสิ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การทำการเกษตรกรรมอาจจะไม่ได้ผลดี อย่างไรก็ตามในสภาพอากาศปกติ ก็มีกิจกรรมทางธรรมชาติให้เราสามารถร่วมสนุกได้ เช่น บริเวณริมแม่น้ำ Flinders River และ Hughenden Recreational Lake ที่มีทั้งพายเรือคายัค, Water Ski หรือจะนั่งปิกนิกก็ได้เช่นกัน หากออกไปนอกตัวเมืองต้องอุทยานแห่งชาติ Porcupine Gorge National Park ที่มีเส้นทางเดินป่าและจุดแคมป์ปิ้ง แวะชมความสวยงามที่จุดชมวิวยอดนิยม ที่เป็นคลองน้ำไหลผ่ากลางหน้าผาหินทรายสี จนถูกเรียกอีกชื่อว่า “Little Grand Canyon”
Maryborough
ที่มาภาพ : www.visitfrasercoast.com/destination/maryborough
เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำ Mary River อยู่ในภูมิภาค Fraser Coast ใกล้ ๆ กับ Fraser Island เกาะทรายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ร่องรอยการตั้งรกรากของมนุษย์ในพื้นที่นี้ คงต้องย้อนไปถึง 6,000 ปีที่แล้ว เมื่อชาวพื้นเมืองที่มีชื่อเรียกว่า Gubbi Gubbi และ Batjala แต่ด้วยเวลาผ่านไป ก็ถูกชาวอังกฤษล่าอาณานิคมไปเมื่อ 200 กว่าปีที่ผ่านมา จากดินแดนเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไร ก็ได้กลายเป็นเมืองโรงไฟฟ้าอุตสาหกรรมของควีนส์แลนด์ในศตวรรษที่ 19 รวมถึงมีโรงหล่อโลหะสำหรับโรงงานน้ำตาล หัวรถจักรรถไฟ และผลิตเรือเดินทะเล นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของการเกษตรที่สำคัญ รวมทั้งการสีไม้และการปลูกอ้อย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มั่งคั่งสุด ๆ ในอดีต
ที่มาภาพ : www.visitfrasercoast.com/destination/maryborough
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เมืองไม่ได้ดำเนินกิจการเหล่านี้แล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เข้าไปสัมผัส อย่างใน Queens Park สวนสาธารณะใจกลางเมือง ที่มีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของ "Duncan Chapman" ทหารออสเตรเลียในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้เกิดและเติบโตที่เมืองนี้ และศาลาดนตรีออกแบบในสไตล์โบราณ อีกความน่าสนใจคือ ที่แห่งนี้เป็นเมืองของผู้แต่งนวนิยายที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง "Mary Poppins" เมืองจึงได้แฝงกิมมิคคาแรคเตอร์ของ Mary Poppins ตามจุดต่าง ๆ ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นไว้ถ่ายรูปใกล้กับ The Story Bank พิพิธภัณฑ์การ์ตูน หรือสัญญาณไฟจราจร สร้างความน่ารักให้ในเมือง หากเดินเล่นในตัวเมืองต่ออีกนิด ก็จะพบกับงานสตรีทอาร์ทตามกำแพงกว่า 39 จุด เรียกว่าเส้นทาง Maryborough Mural Trail ให้แวะถ่ายรูปคู่ก็ดูอาร์ทไปอีกแบบ และยังมีอาคารโบราณเมื่อร้อยกว่าปีที่ยังถูกรักษาไว้ให้เดินชม อย่าง Maryborough City Hall ศาลาว่าการเมืองที่เป็นอาคารโบราณเมื่อปี 1908 ที่ภายในมีศูนย์ให้บริการนักท่องเที่ยว สามารถไปหยิบแผนที่ท่องเที่ยว หรือรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ได้แบบฟรี ๆ (โดยหยุดทำการในวันอาทิตย์) นอกจากนี้ยังมี Maryborough Military and Colonial Museum แหล่งที่นำเสนอข้อมูลและอุปกรณ์ที่หลงเหลือจากสงคราม หากกำลังมองหาเมืองพักผ่อนแบบมีสตอรี่น่าสนใจ แวะก่อนไปเที่ยว Fraser Island ลองแวะเข้ามาพักที่เมืองนี้สักคืน
Birdsville
ที่มาภาพ : birdsvilleraces.com
มาจบกันที่เมืองสุดท้าย สุดชายขอบรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับพื้นที่ South Australia และ Northern Territory ทั้งสองฝั่ง แม้ว่าจะเป็นดินแดนแห่งทะเลทราย บรรยากาศเหมือนอยู่ในหนังคาวบอย แต่เมืองแห่งนี้ถูกพูดถึงในบทบาทของ Outback หรือ “บ้านนอก” ที่ชาวออสซี่หลายคนคุ้นเคย เพราะมีการท่องเที่ยวน่าสนใจ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 60,000 คนต่อปี ไม่ว่าเป็น Big Red เนินทรายสูงกว่า 40 เมตร เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่มีชื่อเสียงใน Simpson Desert ตั้งอยู่ใน Munga-Thirri National Park และยังเป็นที่จัดงานเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า Big Red Bash จัดขึ้นในทุกเดือนกรกฎาคม งานที่นำพาชาวออสซี่กว่าพันคน มารวมตัวกันฟังดนตรีสดสุดมันส์ กระโดดกันให้ฝุ่นคลุ้งบนทะเลทราย รวมไปถึงงาน Birdsville Races การแข่งม้าเร็วก็จัดขึ้นยาวนานเข้าสู่ปีที่ 141 เรียกว่าเป็น Melbourne Cup ในสไตล์บ้าน ๆ ก็ว่าได้ จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ที่ Birdsville Race Club และในเมืองก็มีแอ่งน้ำลำคลอง ที่สามารถลงไปคลายร้อนได้ที่ Birdsville Billabong และจุดชมวิวมุมสูงอย่าง Deon’s Lookout
ที่มาภาพ : espn.com
และแน่นอนว่าอยู่ใจกลางทะเลทรายแบบนี้ หลีกเลี่ยงอย่างยิ่งที่มาในช่วงหน้าร้อน เพราะที่นี่คือจุดที่ร้อนที่สุดในประเทศสูงถึง 49 องศาฯ! ดังนั้นควรมาท่องเที่ยวในช่วงกลางปีพฤษภาคม-กันยายน และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มาที่นี่ในรูปแบบของคาราวาน หรือรถบ้าน เพราะในมีจุดแวะจอดที่ Birdsville Caravan Park มีลานตั้งแคมป์และให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยรถตู้ขนาดใหญ่หรือจะขับบิ๊กไบค์มาก็ได้เช่นกัน หากมาที่นี่แล้ว สิ่งที่ต้องลองชิมและซื้อกลับบ้านนั่นคือ พายเนื้ออูฐ ที่ Birdsville Bakery ใครได้ลองชิมแล้ว ช่วยบอกรสชาติให้ทีว่าอร่อยแค่ไหน หรือถ้าใครอยากรู้จัก Birdsville มากยิ่งขึ้น สามารถมองหา Local Tour พาเที่ยวตามจุดที่น่าสนในของเมือง ซึ่งอาจจะเดินทางไปได้ยาก ต้องมีคนท้องถิ่นขับรถ 4WD พาไป
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเมืองเล็กน่าเที่ยวในรัฐควีนส์แลนด์ เผื่อจะเป็นไอเดียหลายคน วางแพลนไปพักผ่อนแบบ Slow Life ท่ามกลางความสงบ แฝงเสน่ห์ของบ้านเมือง เพราะแต่ละแห่งล้วนมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน
อ้างอิงข้อมูล
- www.southernqueenslandcountry.com.au
- www.visitsunshinecoast.com
- www.visithughenden.com.au
- www.visitfrasercoast.com
- www.outbackqueensland.com.au