Whitsunday สวรรค์ของคนรักทะเล ตอนที่ 1 Airlie Beach, Abell Point Marina

ในที่สุดหน้าร้อนก็มาถึง หลังจากผ่านพ้นความหนาวและเมฆฝนพายุลูกเห็บดาวกระจาย เวลาของเรามาถึงแล้ว ทริป 4 วัน 3 คืน กับ Whitsunday

ก่อนจะเริ่มทริปครั้งนี้ของเรา ขอเกริ่นเรื่องของ Whitsunday ซักนิดนึง..

Whitsunday อยู่ในภูมิภาค North Queensland ตั้งอยู่ตอนกลางชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ อยู่ทางตอนใต้ของเมือง Bowen และทางตอนเหนือของเมือง MacKay ห่างจากตัวเมือง Brisbane ไปทางเหนือประมาณ 900 กิโลเมตร มีภูมิประเทศทั้งที่เป็นแผ่นดินใหญ่และเกาะ เกาะภายใน Whitsunday ประกอบไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่จำนวนมากถึง 74 แห่ง เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือ Whitsunday Island มีเกาะที่เป็นศูนย์กลางคือ Hamilton Island โดยมีทั้งสนามบิน รีสอร์ท สนามกอล์ฟ อยู่บนเกาะ เจ้าของดินแดนดั้งเดิมที่เคยมีบันทึกไว้คือ Ngaro เป็นกลุ่มชาวเรือเผ่าอะบอริจิน บริเวณโดยรอบของ Whitsundays รายล้อมไปด้วยแนวปะการังซึ่งเป็นมรดกของโลก Great Barrier Reef มีชายหาดที่ขึ้นชื่อคือ Whitehaven Beach หาดที่ถูกจัดอันดับว่าสวยที่สุดในออสเตรเลีย โดยถูกจัดอยู่ในรายการ “Must-see” ของ Whitsundays

อ่านมาจนถึงตรงนี้เพื่อน ๆ ก็คงพอทราบแล้วว่าสถานที่แห่งนี้น่าสนใจขนาดไหน โดย Whitsundays เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติก โดยมีสถิติถูกบันทึกไว้ว่า.. มีคู่รักมาจัดงานแต่งงานมากที่สุดในออสเตรเลียอีกด้วย

ระยะเวลาการเดินทางไปยัง Whitsunday ด้วยเครื่องบิน

สำหรับการเลือกจุดหมายปลายทางเพื่อหาที่พัก ถ้าหากเดินทางออกจากบริสเบน สามารถเลือกได้หลัก ๆ 2 แห่ง ตามสนามบินที่มีอยู่นั่นเอง คือ Whitsunday Coast (PPP) และ Hamilton Island (HTI) ถ้าหากเลือกที่ฝั่ง Coast ก็พักบริเวณ Airlie Beach จะมีข้อดีตรง.. ที่พักจะถูกกว่าบนเกาะ แต่จะต้องตื่นเช้าหน่อย เพราะเราต้องรีบไปขึ้นเรือที่ Port of Airlie ซึ่งเป็นจุดสตาร์ทหลักของทัวร์ หรือ ถ้าหากเลือกที่เกาะ Hamilton ก็จะมีข้อดีตรง.. ที่พักอาจจะสวยกว่า เนื่องจากเป็นเกาะมองเห็นวิวทะเลชัดเจน และ อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวมากกว่า ไม่ต้องตื่นเช้ามากเพื่อมาขึ้นเรือ

ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความชอบและโปรแกรมการท่องเที่ยวของแต่ละท่าน ว่าจะเลือกแบบไหน พักที่ไหนก็เลือกลงเครื่องที่นั่น ตอนนี้ก็ถึงเวลาเริ่มทริปของเรากันเลยดีกว่า..

Whitsunday วันที่หนึ่ง - Airlie Beach, Abell Point Marina

เราตื่นกันตั้งแต่ตีสี่เลยทีเดียว อาบน้ำ ทานข้าวเช้ารองท้องนิดหน่อย สำรวจสัมภาระเรียบร้อย หมวก แว่นตา ครีมกันแดด พร้อมแตะคู่ใจพร้อมเดินทาง เที่ยวบินขาไปของเราฝากชีวิตไว้กับ Jetstar ออกจากสนามบินบริสเบนเวลา 8 โมงเช้าไปลงที่ Whitsunday Coast - Proserpine Airport (PPP) เนื่องจากเราพักที่ Airlie Beach เครื่องลงเวลา 10 โมงกว่า ๆ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ก่อนที่เครื่องบินจะลง สามารถมองเห็นวิวทะเลสีฟ้าเขียว คลื่นกระทบกับริมฝั่ง ติดกับภูเขา เป็นวิวที่แปลกตาดี เพราะมีทั้งภูเขาป่าไม้และทะเล หลุดวิวทะเลไปกลายเป็นพื้นดินโล่ง ๆ และไร่กว้าง ๆ มีน้องวัว แกะ ม้าอยู่ประปราย เป็นจุดสีขาว น้ำตาล และดำ สนามบินที่นี่ต้องยอมรับว่ารันเวย์ขนาดเล็กสุดเท่าที่เคยเห็นมา

สนามบิน Whitsunday Coast

การเดินทางครั้งนี้โชคดีได้พักบ้านของพี่สาวใจดี ในย่าน Airlie Beach ซึ่งเดินทางโดยรถแท็กซี่จากสนามบินใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที ราคาประมาณ $90 แม้ว่าตลอดการนั่งบนแท็กซี่ เราจะรู้สึกเหมือนอยู่เทกซัสก็ตาม สภาพทิวทัศน์ที่ค่อนข้างแห้งแล้ง และเหล่าฝูงสัตว์ แต่พอเริ่มเข้าบริเวณ Airlie Beach แล้ว ก็เริ่มดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา บรรยากาศค่อนข้างโรแมนติก

ในส่วนของที่พัก หากต้องการหาเป็นโรงแรม รีสอร์ท หรือแม้แต่อพาร์ทเม้นท์ ในย่านเดียวกันนี้ก็มีให้เลือกหลากหลาย โดยสามารถเลือกได้ตามความชอบ ราคาเริ่มต้นก็อยู่ที่หนึ่งร้อยต้น ๆ หากอยู่ในทำเลที่เห็นวิวทะเลสวย ๆ ราคาก็จะขยับขึ้นมา

Airlie Beach เป็นชายหาดเล็ก ๆ และน้ำทะเลสีฟ้าเขียว มีเรือส่วนตัวจอดอยู่ประปราย วิวของน้ำทะเลตัดกับภูเขาและขอบฟ้า โอ้.. สวรรค์รำไร เหมือนกำลังดูภาพวาดอยู่ แม้น้ำทะเลจะสวยน่าเล่นมากแต่ก็ไม่เห็นจะมีคนลงไปเล่นเลย พอเดินผ่านริมหาดไปในตัวเมืองถึงได้เข้าใจว่า ช่วงเดือน พ.ย. ถึง มิ.ย. เป็นฤดูที่เจ้า box jellyfish แมงกะพรุนขนาดจิ๋วแต่พิษร้ายกาจออกอาละวาดนั่นเอง อย่าเพิ่งตกใจว่าจะไม่ได้ลงน้ำไป ทางรัฐบาลที่นี่เขาได้สร้างทะเลเทียมติด ๆ กับหาดขึ้นมา (Airlie Beach Lagoon) เพื่อให้เราได้ชุ่มช่ำกัน อารมณ์คงประมาณสระเทียมที่ South Bank

Airlie Beach

เดินออกจากหาดเทียมไปนิดนึง ก็เจอกับถนนซึ่งคนที่นี่เขาเรียกว่า Main Street มีร้านอาหารและร้านค้าให้เลือกช้อปมากมาย สินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่ก็เป็นแนวแฟชั่นริมทะเลเข้ากับบรรยากาศ เราเดินมุ่งตรงไปที่ City Beach และ Rip Curl ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อถอยหมวกปีกกว้างและกางเกงเล่นน้ำ เพราะแดดที่นี่แรงจริง ๆ พร้อมกับไม่ลืมซื้อ Aerogard กันยุงไว้ด้วยตามคำแนะนำของคนท้องถิ่น

เมืองแห่งนี้เป็นเมืองของนักท่องเที่ยวอย่างแน่แท้ โดยมากผู้มาเยือนเป็นชาวยุโรป เยอรมัน อเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น และจีน ส่วนชาวออสซี่นั้นส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่วัยรุ่นและวัยกลางคน ทำให้เรามั่นใจว่าเรามาถูกทางแอดแวนเจอร์ละ อาหารกลางวันเราเลือกร้าน “Salt” เป็นร้านสไตล์ Fish & Chips ขายอาหารทะเลทั่วไป เป็นหนึ่งในร้านที่คนแถวนั้นต่างรู้จักและแนะนำกัน

ตอนเย็นเราเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางชมวิว Bicentennial Boardwalk เพื่อไปจุดหมายของเรา.. ไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Abell Point Marina ซึ่งเราสามารถเดินยาวมาได้ตั้งแต่หาดเทียมไปจนถึงท่าเรือ โดยได้รับข้อมูลจากคนในพื้นที่ว่า.. เดิมทีนั้นท่าเรือแห่งนี้ใช้สำหรับเช่าจอดเรือส่วนตัวและจุดจอดเรือโดยสาร แต่ในภายหลังได้มีการย้ายเรือโดยสารไปท่าเรือ Port of Airlie คงเหลือไว้แต่เรือส่วนตัวของผู้ที่มาเช่าจอดไว้ กับเรือของบริษัทเอกชนต่าง ๆ เข้าใจว่าตอนนี้จึงเป็นเหมือน Yacht Club

Bicentennial Boardwalk - Airlie Beach

ภายในพื้นที่มีร้านอาหารและบาร์ “Sorrento” สำหรับนั่งชมวิว จิบเครื่องดื่มเย็น ๆ และฟังดนตรีสด นอกจากนี้ยังมี ร้านค้า และที่พัก สำหรับใครอยากค้างคืนที่นี่ หรือถ้าหากใครใจกล้าหน่อย ก็ลองปีนขึ้นไปบนลานชั้นหิน ยืนชมวิวได้ 360 องศา รอบท่าเรือ เป็นอีกทรรศนีย์ภาพที่ต้องอาจจะต้องเสี่ยงกันหน่อย หรือไม่ก็สามารถเดินตามทางเดินขึ้นไปบริเวณป้ายท่าเรือด้านบน ซึ่งสามารถชมวิวท่าเรือจากมุมสูงได้เช่นกัน

Abell Point Marina

จบกันไปแล้วกับตอนแรก หนึ่งวันใน Airlie Beach เรายังเหลืออีกสองตอน กับการไปชมหาดทรายที่สวยที่สุดในโลก Whitehaven Beach และแนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลก Great Barrier Reef แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้านะค่ะ

ข้อมูลอ้างอิงและรูปประกอบ:

tourismwhitsundays.com.au - "Official website of Whitsundays"
wikipedia.org - "Whitsunday Islands", "Airlie Beach Lagoon picture, by Niki Gango"