Introduction
เอ๊ะ!...นี่เรากำลังเขียน Report อยู่รึเปล่า?
ใช่ค่ะ... กำลังนั่งทำ Proposal ส่งอาจารย์อาทิตย์หน้า แล้วจู่ ๆ ก็เกิดอาการเครียด กลุ้ม หมดมุขเขียน 555 เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเป็น
อารมณ์ตอนนี้ความรู้พรั่งพรูเต็มหัวไปหมด อ่านบทความและรายงานต่าง ๆ เยอะมาก แต่เขียนไม่ออก เลยอยากผ่อนคลาย อีกทั้งอยากแชร์ประสบการณ์ชีวิต จนปิ๊ง! ไอเดีย (จริง ๆ อยากระบายมากกว่า) เล่าเรื่องราวของการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยของออสเตรเลียมาให้ชมกัน ซึ่งถ้าหากใครคาดหวังจะได้เจอฝรั่งหัวทองในคลาส เราขอการันตีเลยว่า คุณจะไม่พลาดสิ่งนั้นอย่างแน่นอน 5555
มหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียนี่จะนับเวลาเรียนเป็น Week (สัปดาห์) อย่างมหาลัยที่เราเรียนจะเริ่มตั้งแต่ Week 1 - Week 13 ไม่รวม Orientation Week และ Mid-semester break
Orientation Week (O-Week) หรือ เรียกบ้าน ๆ เลยคือ สัปดาห์ปฐมนิเทศน์
ทางมหาวิทยาลัย (ที่นี่จะเรียกย่อ ๆ ว่า Uni มาจาก University) จะจัดงานต้อนรับนักเรียนใหม่ หรืองานต้อนรับน้องใหม่นั่นเองค่ะ โดยกิจกรรมก็จะมีให้เข้าร่วมสนุกกันทั้งสัปดาห์เลย ไม่ว่าจะเป็น Campus tour, กิจกรรมจากชมรมต่างๆ, การใช้บริการห้องสมุด, การสอนเขียนรายงาน, การจด lecture, Time management, การใช้ชีวิตในบริสเบน เป็นต้นค่ะ ใน O-week จะไม่มีการเรียนการสอน แต่จะเน้นให้เด็กนักเรียนเริ่มปรับตัวกับชีวิตในมหาลัยและสภาพแวดล้อมรวมไปถึงการได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ด้วยค่ะ
Week 1 สัปดาห์แรกของการเริ่มเรียน
เทอมแรกของทุกปีจะคึกคักเป็นพิเศษและดูวุ่นวายมาก ผู้คนพลุกพล่านทั้งเด็กนักเรียนและนักท่องเที่ยว (มหาลัยที่นี่ไม่มีรั้ว ใครสามารถเข้าออกก็ได้ แต่ไม่สามารถขึ้นตึกเรียนได้) การหาที่นั่งจึงค่อนข้างยาก เปรียบเสมือนเด็กนักเรียนพึ่งจะเอ็นทรานซ์เข้ามาใหม่ในเทอมนี้ ก็จะมามหาลัยกันแต่เช้า ซึ่งพอได้เห็นวัยรุ่นฝรั่งหนุ่ม ๆ น่าตาจิ้มลิ้ม ใสกิ๊ก ถือเป็นบุญตาที่พ่อแม่ส่งให้มาเรียนเมืองนอกจริง ๆ ขอป้าได้แค่มองก็สุขใจ เพราะเพื่อนในห้องส่วนใหญ่จะเป็น แขกดำ แขกขาว ออสซี่ที่ส่วนใหญ่แต่งงานแล้ว จีนและเวียดนามบางส่วน อีกทั้งฝั่งยุโรปก็ยังไม่ถึง 5 คน คือเดินเข้าห้องเรียนทีไร แรงจูงใจมันไม่มา 5555
โดยสัปดาห์แรกก็ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่และทักทายเพื่อนเก่ากันไป การเรียนการสอนยังไม่มีอะไรมาก ก็คล้ายๆกับที่ไทยคือ อธิบายวิชานั้น ๆ ว่าเรียนอะไร มีงานอะไรต้องส่งวีคไหนบ้าง งานเดี่ยวหรืองานกลุ่ม แต่สำคัญที่สุดคือ การจับกลุ่ม ในวีคนี้บางคนที่เป็นเด็กเก่าจากเทอมที่แล้วจะรู้ว่าสัปดาห์แรกอาจารย์จะไม่ค่อยเริ่มสอนในเนื้อหาเลย ก็เลยขาดเรียนไป ซึ่งพอเรียนมหาลัยจะไม่มีการเช็คชื่อแล้ว เพราะถือว่าโตและทำงานกันแล้ว อีกทั้งยังมี Lecture online ที่สามารถนั่งฟังย้อนหลังในสิ่งที่อาจารย์สอนในห้องได้อีกด้วย ซึ่งการขาดเรียนของคนกลุ่มนี้ถือว่าพลาดมากค่ะ เพราะในวีคแรก หากวิชานั้น ๆ มีงานกลุ่ม เค้าก็จะเริ่มจับกลุ่มกันในคลาสตอนนั้นเลย ซึ่งงานนี้ก็แล้วแต่บุญเก่าเลยค่ะ หากได้เพื่อนดีช่วยกันทำงาน แบ่งเวลามาคุยกันได้ ก็ถือว่าโชคดีไป
Toga party ปาร์ตี้เทพีกรีก
เป็นปาร์ตี้ของนักเรียนปีหนึ่ง (ปีอื่นก็เข้าร่วมได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กปีหนึ่ง) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Toga ฉะนั้นคนที่จะเข้าร่วมงานต้องแต่งกายด้วยชุดแบบเทพีกรีก งานนี้เราได้ไปเข้าร่วมด้วยแบบไม่ได้ตั้งตัว เพราะเพื่อนในคลาสชวนไป
ทุกอย่างดูทะลักทุเลไปหมด ตั้งแต่การหาซื้อตั๋วเข้างาน และหาซื้อ white bed sheet นำมาห่มเป็นชุด แล้วประเด็นคือ ทั้งเราและเพื่อนไม่มีใครห่มเป็น แต่สุดท้ายเราก็ได้ผู้ช่วยจากคนแถวนั้นมาช่วยค่ะ ความสนุกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เราเดินเข้าเมืองเพื่อต่อรถไปยังสถานที่จัดงาน สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือสายตาคนที่จ้องมองมาทางพวกเรา ฮ่าๆๆ เดินหัวเราะเขิน ๆ กับเพื่อนจนกระทั่งขึ้นรถบัส บัสที่เต็มไปด้วยบรรดาเทพีทั้งหลาย จนเราตั้งชื่อบัสคันนั้นว่า Togabus
ปล.งาน Toga Party มันสนุกจริงๆ นะ ฝรั่งที่นี่เต้นกันแบบไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่แคร์ว่าเราคือเอเชียน บางคนเค้าก็มาเต้นมาแจมกับกลุ่มเพื่อนเราด้วยเช่นกัน เราจึงอยากขอบคุณงาน Toga party กับคำชวนที่ว่า "ครั้งนึงในชีวิตมหาลัยเมืองนอกของยูเลยนะ"
Week 2 Time management
การเรียนปริญญาโทในเมืองนอกสำหรับความคิดเราคือ ประสบการณ์อาจช่วยคุณได้ แต่ถ้าหากฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องก็อาจตายได้เช่นกัน ในความหมายของเราคือ ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการทำงานมาสามารถช่วยให้เรานึกภาพและจินตนาการในบทเรียนออก แต่ตัวอย่างที่ lecturer สอนในห้องเรียน อีกทั้ง case study ทั้งหมดที่สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษนั้น ถ้าหากเราฟังไม่รู้เรื่องทำให้เราไม่สามารถจับใจความสำคัญได้เลยว่า อาจารย์กำลังพูดถึงอะไรอยู่ ฉะนั้นเริ่มต้นเรียนใหม่ ๆ ภาษาจึงเป็นปัญหาระดับต้น ๆ ของเราเลยก็ว่าได้ การเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษให้ตัวเองจึงเริ่มต้นขึ้นระหว่างการเรียน
เริ่มตั้งแต่การจัดการตารางเวลาการเรียน การอ่านหนังสือ กิจกรรมที่ทำระหว่างเรียน รายงานที่ต้องส่ง การประชุมระหว่างเพื่อนในกลุ่ม และการเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษา(สำหรับทำโปรเจค) รวมไปถึงการทำงานพาร์ทไทม์ เพื่อหารายได้เสริมไปด้วย
เรามีคอนเซ็ปต์ให้ตัวเองคือ ทำงานได้แต่ต้องไม่กระทบการเรียน เข้าสังคมบ้างเพื่อผ่อนคลายแต่ไม่มากจนเกินไป ฉะนั้นเราจึงต้องขยันและมีวินัยในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ถามว่าเหนื่อยมั้ย ตอบเลยว่าเหนื่อยมาก และน้ำหนักลดลงด้วยเช่นกัน เพราะเราเริ่มกินเป็นเวลามากขึ้น ไม่มีกินจุบจิบ เวลานอนและเวลาทานข้าวทุกวันจะเหมือนกันหมด กลายเป็นว่า การใช้ชีวิตในทุกวันต้องมีการวางแผน เพื่อกำหนดตัวเองได้ว่า อะไรควรจะเสร็จเมื่อไหร่ วันไหน และเราจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นได้ด้วยค่ะ
เพื่อน ๆ อาจจะเห็นว่า เริ่มต้นชีวิตมหาลัยมันยังไม่มีอะไรเลย ใช่ค่ะ เพราะมันแค่เริ่มต้น แต่ถ้าหากเราเริ่มต้นการเรียนไปพร้อมกับบทเรียนในวีคนั้น ๆ มันคงจะดีกว่าไปไฟท์เอาตอนใกล้ส่งงานอย่างเดียว สำหรับเรา..เราอยากใช้ชีวิตตอนเรียนมหาลัยให้คุ้ม เพราะมันสบายที่สุดแล้วถ้าเทียบกับการทำงานที่ต้องนั่งเครียดทั้งวัน การออกไปพบปะเพื่อนฝูงหรือแม้กระทั่งการทำอะไรที่เราชอบเพื่อผ่อนคลายจากการเรียน มันก็ดีเหมือนกันค่ะ และอย่าลืมตัวช่วยสำหรับระหว่างเรียนอย่าง "การจัดการเวลาของเราเอง (Time Management)" เพื่อทำให้เรามีประสิทธิภาพในการเรียนและการใช้ชีวิตให้มากขึ้นค่ะ
ในตอนแรกขอจบไว้เท่านี้ก่อน ไว้เราจะมาต่อตอนที่ 2 กับเนื้อหาการเรียนที่เข้มข้นขึ้น ปัญหาระหว่างการทำงานกลุ่ม และอีกหลายปัญหาที่ตามมาในเวลาเดียวกัน มารอลุ้นกันค่ะว่าเราจะสามารถผ่านมันไปได้หรือไม่
To be continued...