จากความเดิมตอนที่แล้ว (Part1) ที่เราได้เล่าเรื่องวันแรกของทริป Byron Bay 3 วัน 2 คืน ของเรากับเพื่อนในคลาส โดยในวันที่สองและสาม เราจะไปตะลุย ทำในสิ่งที่ครั้งที่แล้วที่เรามาแล้วเราพลาดทำกันค่ะ พร้อมแล้วไปเที่ยวกันเถอะ...
Day 2:
Cape Byron Lighthouse, Snorkelling at Julian Rocks
เช้าวันนี้เราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่แรกในออสเตรเลียกันที่ Cape Byron Lighthouse โดยสามารถขับรถขึ้นไปจอดข้างบนสุดได้แต่อาจจะต้องรีบหน่อยเพราะนักท่องเที่ยวเยอะค่ะ และอย่าลืมเช็คเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นด้วยนะคะ โดยในตอนเช้าอากาศค่อนข้างเย็นและลมแรงค่ะ ผู้คนก็เริ่มมาจับจองมุมนั่งดูแสงยามเช้า แต่ที่เห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้คือผู้คนที่นี่เค้าฮิตวิ่งออกกำลังกายกัน บางคนก็เดิน-วิ่งจากริมชายหาดขึ้นมาบนจุดชมวิวเลย เราลองเช็ค GPS ดูแล้วการเดินขึ้นใช้เวลาประมาณ 30-40นาที หากใครยากลองออกกำลังกายเบา ๆ ก็ตามสะดวกเลยนะคะ
Cape Byron Lighthouse
วันนี้เรามีแพลนไปดำตื้น (Snorkelling) กันที่ Julian Rocks ซึ่งเราได้จองผ่านทัวร์ดำน้ำโดยตรงตั้งแต่วันแรกที่เรามาถึง ในการจองนั้นเราสามารถจองออนไลน์ผ่านหน้าเวปไซต์ของแต่ละบริษัททัวร์ดำน้ำได้เลย แต่อย่าลืมเช็คสภาพอากาศและคลื่นลมด้วยค่ะ เพราะคราวที่แล้วมาแบบไม่ได้แพลนก็อดดำน้ำไปอย่างน่าเสียดายเนื่องจากคลื่นสูงมาก เรือเล็กงดออกจากฝั่ง (นึกถึงเพลงของพี่ตูนบดี้สแลมขึ้นมาทันที) ค่าดำน้ำต่อคนก็อยู่ที่ราคา $70 (ราคารวม ชุดดำน้ำ, Fins, Mask แล้วค่ะ) เราจองดำน้ำได้รอบช่วงเที่ยงพอดี ซึ่งในรอบนึงจะรับคนไม่เกิน 12 คนค่ะ เพื่อความปลอดภัยและง่ายต่อการดูแล แล้วเราก็ไม่ลืมที่จะกินข้าวก่อนประมาณหนึ่งชั่วโมเพราะกลัวหิวกลางทะเลและกลัวอาเจียนด้วยหากกินข้าวก่อนดำน้ำทันที หลังจากนั้นเรามาเช็คอินและรออบรมคอร์สสอนดำน้ำเบื้องต้น ฟรี! ไม่เสียเงินค่ะ โดยเจ้าหน้าที่ก็จะให้ดูวีดีโอ บรรยายข้อห้าม และภาษามือสำหรับนักดำน้ำกันค่ะ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชุดลงสระ เพื่อฝึกคลาสการดำน้ำเบื้องต้น สิ่งที่สำคัญสุดคือ การเลือกตีนกบ (Fins) ค่ะ ขนาดจะต้องฟิตพอดีกับเท้า ไม่งั้นตีเท้าแล้วจะหลุดลอยไปได้ และไม่ควรเลือกแบบยาวมากนักเพราะจะทำให้เมื่อยเร็วค่ะ (ความเห็นส่วนตัวนะคะ) สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะชุดดำน้ำที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้มันสามารถทำให้เราลอยน้ำได้เองค่ะ และเค้าก็มีตัวช่วยให้อีกคือ "แท่งโฟม" ไว้ให้เราลอยตัวในน้ำได้อีกด้วยค่ะ ทีนี้ก็เก็บของทุกอย่างเข้าล็อกเกอร์ เตรียมกล้องถ่ายรูปกันน้ำพร้อม แล้วเราก็ไปลุยกันเลยค่ะ
เราขึ้นรถตู้ของกรุ้ปทัวร์เพื่อไปลงเรือสปีดโบ๊ทที่ลำเล็กมากกกกกก... (ก็สำหรับสิบคนนี่เนอะ) โดยเรือลำของเราจะมีพลขับหนึ่งนาย และ Safety guards อีกสองคน เรารู้สึกเป็นมิตรกับเพื่อน ๆ ในกรุ้ปก็ตอนนั่งเรือนี่หละค่ะ ทั้งเร็วและแรงมาก โต้คลื่นมันมาก พอเรือมาถึงจุดดำน้ำ เค้าก็รายงานผลไปยังหอบังคับการบนฝั่ง ซึ่งก่อนลงเค้าก็จะอธิบายว่า เราสามารถดำน้ำอยู่ได้ในบริเวณไหนบ้าง และไม่ควรไปยังจุดริมโขดหินเพราะอาจจะโดนคลื่นซัดได้ ประมาณนี้ค่ะ และทุกคนก็เริ่มทะยอยลงน้ำ เราบอกเลยว่า.... เ ร า ก ลั ว ม า ก ก ก ก . . . คือเราว่ายน้ำเป็น แต่กลัวสีของน้ำทะเลที่เป็นสีเข้ม ไม่ใช่สีเขียวใสแบบบ้านเรา คือมันลึกมากกก และคลื่นก็แรงมาก เราอยากจะร้องไห้แล้วนั่งอยู่บนเรือแบบนั้น... คนขับเลยเดินมาหาเรา พูดบลา ๆ ๆ ๆ ว่ายไปหาเพื่อนนะ เพื่อนอยู่โน่นไง (เราลืมบอกว่าเรามาดำน้ำกับเพื่อนแค่สองคน เพราะทีเหลือไม่ยอมมาด้วย ฮ่าๆๆๆ ซ่าส์ก็แบบนี้หละค่ะ) แล้วเค้าก็เอาแท่งโฟมรัดตัวเราไว้แล้วหย่อนเราลงไปในทะเล เราก็ Okay I'm ready! ครั้งนึงในชีวิต Whatever will be will be... สปีดการตีขาระดับสิบมาทันที ฮ่า ๆ ๆ เรารีบว่ายไปหาเพื่อนเราทันที ซึ่งเราไม่รู้ว่าใครเป็นใครเพราะทุกคนใส่ snorkel กันหมด (เล่าไปก็ตลกตัวเอง) การว่ายน้ำอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางฝูงคนมันช่างเหงายิ่งนัก Safety guards ก็ทำหน้าที่เป็นไกด์คอยอธิบายฝูงปลาที่ว่ายไปมาได้อย่างเป็นมืออาชีพ ถามสิว่าเข้าใจไหม?? ก็ไม่ได้เข้าใจหมดทุกคำหรอก รู้แค่ว่าปลานี้คืออะไร แล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ จุดไคลแมกซ์มันอยู่ที่เพื่อนตัวดีของเรา ว่ายมาจากข้างหลังแล้วลากมือเราไป...
"ยู ๆ เห็นฉลามยัง?"
"เห้ย!!.... จริงหรอ?"
"อือ..มองลงไปข้างล่างสิ"
ป๊าาดดด... ฉลามเสือตัวใหญ่มากกกก เราตกใจจนบีบมือเพื่อนเราแน่น ดีที่มันไม่ใช่ฉลามกินคนที่เห็นในหนัง (มารู้ตอนกลับขึ้นฝั่งแล้วเสิร์ชอากู๋) ยังไม่หมด!! มากันพ่อแม่ลูกเลย ดูรักครอบครัวดีมาก เราดำน้ำไปสักพักก็เริ่มชินกับฉลามที่ว่ายไปมาอยู่เบื้องล่าง เราก็ว่ายตาม Safety guards คนสวยของเราไปเรื่อย ๆ จนมาจ๊ะเอ๋กับ พี่เต่าทะเลสุดน่ารักที่ว่ายเข้ามาหาแบบใกล้มาก แล้วก็ดูฝูงปลาที่ว่ายสลับไปมาอยู่เรื่อย ๆ
ว่ายไปว่ายมารู้สึกเหนื่อย.. ทำไมหนึ่งชั่วโมงในทะเลมันนานจัง อยากจะกลับขึ้นฝั่งแล้ว สึกพักก็มีคนตะโกนมาว่า เจอนีโม่ด้วยแหละ เราก็รีบตีขา แต่ขาใครไม่รู้ผ่านหน้าเราไปแบบฉิวเฉียด.. นีโม่น่ารักเกินไป เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เก็บไว้ในความทรงจำดีกว่า ^^ (จริง ๆ ตัวเล็กเกิน ถ่ายออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้) แล้วหัวหน้าทัวร์ของเราก็เรียกทุกคนกลับขึ้นเรือเพื่อกลับขึ้นฝั่งกัน โดยเค้าก็รายงานผลกลับไปที่หอบังคับการอีกเช่นเคยว่าจะเข้าฝั่งแล้วนะ เพื่อความปลอดภัยและเตรียมบอกให้นักโต้คลื่นได้ทราบเพื่อหลีกทางให้เรือเข้าฝั่งค่ะ
เรากับเพื่อนก็กลับที่พักอาบน้ำสลบไปสองชั่วโมง แล้วก็ตื่นมาทานข้าวแล้วไปเที่ยวผับในเมืองกันต่อค่ะ ถ้าใครได้ไป Byron Bay ยามค่ำคืน ลองไปฟังดนตรีเปิดหมวกหน้าธนาคาร ANZ วงนี้เค้าเล่นได้เพราะและสนุกมากจริง ๆ เสียดายเรามาช้าไปหน่อย หลังจากเข้าผับ เต้นกันสนุกสุดเหวี่ยงแล้ว ก็กลับที่พักสลบยันเช้าเลยค่ะ
Day 3:
Crystal Castle and Shambhala Garden
วันนี้พวกเราเดินทางกลับบริสเบนกันแล้ว เวลาเหลือเฟือเลยลองหาที่เที่ยวกันต่อ แล้วเพื่อนเราก็ไปเจอสถานที่ ๆ นึง ตอนแรกคิดกันว่าเป็นวัด ดูแล้วมีกิจกรรมให้ทำ เดินเที่ยวชมนกชมไม้ เลยตกลงปลงใจว่าไปที่นี่กัน ขับรถเข้าไปลึกเหมือนกันค่ะ แต่ทางที่ขับไปสวยมาก เป็นทุ่งหญ้ามีน้องวัว น้องม้าวิ่งเล่นกันสนุกสนาน จนมาถึง Crystal Castle เสียค่าเข้าราคานักเรียนคนละ $20 ซึ่งสถานที่จะออกแนวธรรมชาติบำบัด ดูเป็นชาวพุทธฝั่งธิเบต-เนปาลค่ะ โดยเค้าได้จำลอง สถูปมาจากธิเบตเลย แล้วก็มีแท่ง ๆ ให้เราเดินหมุนด้วย มีใบให้เขียนคำอธิษฐานแล้วก็ไปผูกไว้กับต้นไม้
เราก็เดินชมสถานที่โดยรอบตามแผนที่ที่เค้าให้มาทางหน้าทางเข้า มีบางอย่างฝรั่งที่มาเที่ยวเค้าไม่เข้าใจเค้าก็หันมาถามเราบ้างก็มีค่ะ อย่างเช่น รอยพระพุทธบาทจำลอง การเดินบนหนาม (หินปลายแหลม) คือตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยา สถานที่เดินจงกรมและสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังมีกิจกรรมให้เราเข้าร่วมด้วย อย่างตอนที่เราไปเป็นการบรรยาย research เกี่ยวกับต้นไม้คลายความรู้สึกออกมาเป็นเสียงตัวโน้ต(เปียโน) น่าทึ่งมากจริง ๆ ค่ะ แล้วก็มีโซนต้นไม้จากทางฝั่งเอเชีย อย่าง มะระ มะละกอ กล้วยน้ำว้า ปลูกในสถานที่นี้ด้วยค่ะ ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะร้านของที่ระลึก ก็มีทั้งหินหลากสีตามดวงวันเกิด ราคาก็ตามคุณภาพและขึ้นอยู่กับแร่แต่ละชนิดเลยค่ะ เรารู้สึกดีมากที่ได้มาแวะสถานที่แห่งนี้ก่อนกลับ มันให้ความรู้สึกเหมือนไปปฏิบัติธรรมทางภาคเหนือ จากบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยขุนเขา ความร่มรื่นและเงียบสงบของต้นไม้ ผู้คนที่เป็นมิตร และการมาท่องเที่ยวกับเพื่อนต่างแดน การได้เล่าให้เพื่อนฟังว่าศาสนาพุทธเป็นยังไง แล้วเพื่อนก็ดูตั้งใจฟังและตื่นเต้นไปกับเรา
ในทริปนี้.. เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากการไปเที่ยวค้างคืนกับเพื่อนต่างชาติ วัฒนธรรมการกินของแต่ละชาติ นิสัยใจคอ ซึ่งตลอดสามวันนั้น เราไม่ได้คุยภาษาไทยเลย การได้ไปนอน backpacker ที่อบอุ่นไปด้วยคนจากหลายเชื้อชาติ การเรียนรู้ว่าผู้หญิงต่างชาติไม่ได้สะอาดเสมอไป และที่สำคัญที่สุดคือ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ใส่ใจด้านความปลอดภัยมากจริง ๆ ซึ่งเค้ามีการจัดการระบบที่ดีมาก ๆ และทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้จริง ต้องขอขอบคุณเพื่อน ๆ ในคลาสที่ชวนเรามาทริปนี้ ทำให้เราเห็นมุมมองของ Byron Bay มากขึ้น ที่ไม่ได้มีแค่ Lighthouse ซึ่งเราสนุกกับทุกกิจกรรมที่เราได้ทำเลยแหละ :)