หลายคน คงมีโอกาสไปท่องเที่ยวต่างเมือง อย่างซิดนีย์หรือเมลเบิร์น เพื่อไปทานร้านที่มีชื่อเสียงประจำเมือง ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ขนมอบ หรือเป็นมื้ออาหาร ซึ่งน่าเสียดายว่าเราไม่สามารถนำของอร่อยกลับมาบ้านได้ แต่ข่าวดี ที่บริสเบนเองก็มีร้านดังเหล่านี้ มาเปิดสาขาใหม่ที่นี่ โดยคงรสชาติจากกรรมวิธีและวัตถุดิบไม่แตกต่างกับสาขาดั้งเดิม การันตีความอร่อยจากจำนวนลูกค้า ยืนต่อคิวหน้าร้านเป็นจำนวนมาก มาดูกันว่ามีร้านไหนบ้าง
Lune Croissanterie
ที่มาภาพ : facebook.com/LuneCroissanterie
ทุกครั้งได้ไปเที่ยวเมลเบิร์น สิ่งหนึ่งที่นึกถึงนอกจาก Coffee Culture แล้ว คือความอร่อยของครัวซองค์ร้าน “Lune Croissanterie” ร้านที่ตกแต่งในสไตล์ Loft สุดเคร่งขรึมจริงจัง แต่ยังแฝงความขี้เล่นด้วยโลโก้รูปจรวด บวกกับคำว่า “Lune” มีความหมายถึงพระจันทร์ ประหนึ่งโรงงานผลิตจรวดไปดวงจันทร์ยังงัยอย่างนั้น ร้านยังคงแนวคิดการออกแบบนี้มาใช้ในทุกสาขา รวมไปถึงที่บริสเบนที่แม้ว่าจะไม่มืดทึมเท่า แต่มีความโปร่ง เพดานสูง และเลือกใช้สีดำเป็นสีหลักของร้าน หนึ่งเหตุผลของออกแบบร้านในสไตล์นี้ เกิดจากการผสมผสานตัวตนของผู้ก่อตั้งร้าน ที่มีทั้งสายวิศวกร Formula 1 Aerodynamicist, สายบริการ และสายอาหาร ร่วมมือกันเปิดร้านขนมอบ จนมีชื่อเสียงในเมลเบิร์นนั่นเอง
ที่มาภาพ : facebook.com/LuneCroissanterie
เมนูยอดนิยมที่ทุกคนต้องสั่ง หนีไม่พ้นครัวซ็อง ที่มาทั้งในเมนูต่าง ๆ ทั้งแบบ “Plain Croissant” ครัวซ็องเปล่า ๆ แต่มีรสชาติที่ชัดเจนของเนยที่นำเข้าจากฝรั่งเศส กรอบนอกนุ่มในเมื่อทานอุ่น ๆ ทำออกมาได้อย่างดี, “Pain Au Chocolat” สอดไส้ช็อกโกแลตหวานหอม, "Morning Buns", "Kouign-Amann" หวานและกรอบจากน้ำตาลคาราเมลที่เคลือบภายนอก ทานขนมอย่างเดียวคงฝืดคอแย่ ที่ร้านยังมีเมนูเครื่องดื่ม กาแฟ นม โกโก้ร้อนให้ได้จิบไปพร้อมกับครัวซ็องในมือ เป็นการเริ่มต้นมื้อเช้าที่ดีเลย
ที่มาภาพ : facebook.com/LuneCroissanterie
กิมมิคในการนำเสนอเมนูของร้าน คือการวางชิ้นขนมอบ บนเคาท์เตอร์ปูนคอนกรีตอย่างละชิ้น พร้อมหน้าจอไอแพดสำหรับออเดอร์และตัวเลขราคาที่ตั้งอยู่ด้านหน้าแบบมินิมอล ไม่มีป้ายใหญ่ตั้งติดเพดาน ทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายและมองเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจน แบบไม่ต้องใส่ในตู้กระจกตามร้านกาแฟทั่วไป ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 สาขา 2 เมือง โดย 3 สาขาแรกตั้งอยู่ที่เมลเบิร์น เมืองต้นกำเนิด ทั้งที่ Fitzroy, Armadele และ Melbourne CBD ส่วนอีก 2 สาขาอยู่ที่บริสเบน ที่ Brisbane CBD, South Brisbane สะดวกสาขาไหน เดินไปต่อคิวได้ที่สาขานั้นเลย รีบไปให้เช่าซะหน่อย ไปช่วงสายระวังของหมดไม่รู้ด้วย
Industry Beans
industrybeans.com
ที่มาภาพ : facebook.com/industrybeans
ปี 2013 ย่าน Fitzroy ย่านกินดื่มและแฟชั่นเด็กแนวในเมืองเมลเบิร์น ได้ถือกำเนิดร้านและโรงคั่วกาแฟเล็ก ๆ ขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป ด้วยคุณภาพคับแก้วของเมล็ดกาแฟ ผนวกกับวัฒนธรรมด้านการกินกาแฟที่แข็งแรง ทำให้ “Industry Beans” ได้รับความนิยมทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวต่างเมือง เกิดการขยายสาขาไปทั้งที่ซิดนีย์ และบริสเบนในช่วงปี 2019 จุดแข็งอันโดดเด่นของ Industry Beans ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจกาแฟในออสเตรเลีย นั่นคือความหลากหลายของเมล็ด ไม่ว่าจากการนำเข้าเมล็ดและเทคนิคการคั่วที่พิเศษ เฉพาะตัวกว่าแบรนด์ไหน ๆ สามารถลิ้มลองรสชาติกาแฟที่แตกต่างกันในแต่ละครั้งที่แวะเวียนเข้ามา อีกทั้งยังมีเครื่องดื่มเมนูพิเศษในแต่ละสาขาด้วย
ที่มาภาพ : facebook.com/industrybeans
เมนูที่ต้องสั่งเลย คงหนีไม่พ้นกาแฟไม่ว่าจะรูปแบบร้อนหรือเย็น แต่ถ้าพิเศษเฉพาะในบริสเบน ต้องเลือกเมล็ดกาแฟแบบ “Newstead Signature Blend” เป็นเมล็ดกาแฟที่มีกลิ่นหอมของ Blueberry, Cacao และ Hazelnut ผ่านการคั่วเฉพาะที่นี่ หากมองหา Signature Drinks ที่ไม่เหมือนใคร ต้อง “Bubble Coffee” เป็นการนำกาแฟ Specialty ผ่านรูปแบบ Cold Brew ใส่เม็ดไข่มุกกาแฟที่ทำขึ้นเอง หรือจะเป็น “Fitzroy Iced” ตั้งชื่อตามสาขาดั้งเดิม กาแฟ Cold Brew ที่ Infused กับเมล็ด Wattleseed ที่คล้ายธัญพืช ให้ความหวานด้วย Panela คล้ายน้ำตาลปีปบ้านเราในแบบออแกนิค สดชื่น เหมาะกับการดื่มกาแฟในระหว่างวัน
ที่มาภาพ : facebook.com/industrybeans
สาขาแรกที่เปิดในบริสเบน ตั้งขึ้นในย่าน Newstead จากการเปลี่ยนโกดังร้าง ให้กลายเป็นร้านกาแฟและโรงคั่วที่มีสไตล์มินิมอล ขาวสว่าง บนพื้นที่อันกว้างถึง 700 ตร.ม. แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดต่าง ๆ มีที่นั่งพร้อมกว่า 100 ที่นั่ง มากกว่ากาแฟก็คือเมนู Brunch สุดแสนจะน่าทาน ให้ที่นี่เป็นจุดนัดพบกับเพื่อนฝูงในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อในช่วงโควิดที่ผ่านมา Industry Beans ได้เปิดสาขาใหม่ ขนาดกระทัดรัดใจกลางย่าน CBD บนถนน Adelaide Street เน้นรูปแบบ Grab & Go จำหน่ายทั้งกาแฟและขนมอบ เหมาะกับช่วงเวลาเร่งรีบยามเช้า สะดวกสาขาไหนแวะไปชิมสาขานั้นได้เลย
Gelato Messina
gelatomessina.com
ที่มาภาพ : facebook.com/gelatomessina
ร้านเจลาโต้ชื่อดังแห่งซิดนีย์ ที่ไม่ว่าเปิดกี่สาขาก็จะต้องมีคนต่อคิวรออยู่ตลอดตั้งกลางวันจนถึงดึกดื่น ร้านที่เสิร์ฟเจลาโต้มากถึง 40 รสชาติ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนรสชาติอยู่ตลอดแทบทุกสัปดาห์ เข้าร้านแต่ละที การันตีได้ว่าจะเจอกับรสใหม่ตลอด ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าเดินไปทางไหนก็เจอคนถือโคนไอศกรีมหรือถ้วยสีเขียวส้ม และสไตล์การตกแต่งร้านที่ดูคลาสสิคย้อนยุค ในสไตล์ยุโรป หรือจะเป็นการเลือกใช้ไม้สีเข้มขัดเงาบริเวณกำแพงให้ดูเคร่งขรึม และสร้างความอบอุ่นด้วยไฟสีส้มนวล แต่แฝงความทันสมัยด้วยตู้แช่และป้ายเมนูที่เรียบง่าย
ที่มาภาพ : facebook.com/gelatomessina
เมนูคลาสสิคดั้งเดิมไม่เคยเปลี่ยนมีทั้งหมด 35 เมนูเช่น Apple Pie, Pistachio, Coffee, White Chocolate and Macadamia, Salted Mango Coconut และ Strawberries and Cream และจะมี 5 เมนูพิเศษที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนเรื่อย ๆ ในทุกสัปดาห์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเชฟ “Donato Toce” กับเมนูล่าสุด “Schmear Campaign” เจลาโต้กลื่นอบเชย ที่มีส่วนผสมของชีส Mascarpone กับช็อกโกแลตเค้ก Babka หรือจะเป็น “Spice Alley” เจลาโต้กลื่นอบเชยเช่นกัน ผสมผสานกับโกโก้ Nougatine และเค้กกาแฟ และยังมีรสชาติอื่น ๆ มากมายที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น อย่างการนำมันฝรั่งทอดกรอบ, เบคอน หรือ Nachos ใส่ในเจลาโต้ก็ทำมาแล้ว เมนูที่ยอดฮิตขายดีตลอดกาล ก็เช่น “Get Baked” รสคาราเมลชีสเค้ก, “Red Velvet”, “Darkside” รสช็อกโกแลตเข้ม ๆ , “Little Bloke” รสถั่วผสมบิสกิตและนูเทลล่า ฯลฯ ถ้าเล่าทั้งหมด คงยิ่งทำให้หิวมากขึ้นกว่านี้แน่ ๆ
ที่มาภาพ : facebook.com/gelatomessina
เจลาโต้แบรนด์นี้มีทั้งหมด 30 สาขา มีสาขาเยอะสุดที่ซิดนีย์ถึง 19 สาขา เรียกได้ว่าแทบทุกมุมเมือง ขยายไปยังรัฐอื่น ๆ ทั้ง VIC, ACT รวมถึงควีนส์แลนด์ที่บริสเบนและโกลโคส ปัจจุบันเปิดที่ South Brisbane และที่ Fortitude Valley และได้เปิดสาขาในเอเชียแห่งแรกที่ฮ่องกงอีก 2 สาขาด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่พิเศษของร้านเจลาโต้ คือการปิดดึกถึง 5 ทุ่มครึ่ง ภาพที่เราสามารถเห็นได้ คือคนปาร์ตี้เสร็จ ต่อคิวกินเจลาโต้เย็น ๆ ยืนคุยกับเพื่อนหน้าร้าน ก่อนแยกย้ายกลับบ้านนอนแบบสบายท้อง เป็นร้านที่สามรถอยู่ได้ในทุกโอกาสของวัน ไม่ใช่แค่กินคลายร้อนในช่วงกลางวันเพียงอย่างเดียว
Salt Meat Cheese
saltmeatscheese.com
ที่มาภาพ : facebook.com/Saltmeatscheese
ทานของหวานจนเริ่มเลี่ยนแล้ว ย้ายมาทานอาหารคาวกันบ้าง กับร้านอาหารสไตล์อิตาลีโดยเชฟ “Stefano De Blasio” สัญชาติอิตาเลียนฝีมือดี ที่นำสูตรอาหาร และบรรยากาศสบาย ๆ จากบ้านเกิดในประเทศอิตาลีมาใส่ไว้ในร้านอาการแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ไม้โทนสว่าง รวมไปถึงการจัดวางต้นปาล์ม มาใส่ไว้ในการออกแบบร้านทั้ง 8 แห่ง รวมไปถึงอาหารบนจากที่เราสั่ง ประเดิมสาขาแรกที่ซิดนีย์ 4 สาขา ก่อนที่จะขยายความอร่อยต่อที่ Newstead เมื่อปี 2017 และตามมาที่ Surfers Paradise ย่าน Gold Coast
ที่มาภาพ : facebook.com/Saltmeatscheese
เมนูขายดีคงหนีไม่พ้น พิซซ่าเตาถ่านและพาสต้าโฮมเมด เมนู “Margherita” พิซซ่าหน้ามาตรฐานที่มีมะเขือเทศและโหระพา, “Prochiutto” พิซซ่าหน้า Parma Ham, ชีส Parmigiano และผัก Rocket หรือจะ “Lasagne” สูตรเฉพาะของร้านจากวัตถุดิบและกระบวนทำสดหลังครัวในสไตล์โฮมเมด แม้ว่าวัตถุดิบการทำจะใช้ไม่มากมายอย่างเมนูสุดคลาสสิค Cabonara หรือ Ravioli แต่สามารถทำออกมามีความพิเศษ หอมอร่อย มีความสุขตั้งแต่คำแรกจนหมดจานได้แบบไม่รู้ตัว
ที่มาภาพ : facebook.com/Saltmeatscheese
ร้านนี้เหมาะสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นมื้อสำหรับครอบครัวในตอนกลางวัน หรือดินเนอร์มื้อพิเศษกับคนรัก ร้านเปิดตั้งแต่ 11.30-15.00 เฉพาะวันพฤหัสฯและศุกร์ เปิด 17.00-22.00 ในทุกวันสำหรับมื้อเย็น รวมไปถึงที่ร้านยังเปิดคลาสสอนทำพิซซ่าและพาสต้าอีกด้วย มาเรียนรู้สูตรจากที่นี่ แล้วไปทำต่อที่บ้านให้เป็นสูตรส่วนตัวของเราได้เลย
Karen’s Diner
www.bemorekaren.com
ที่มาภาพ : facebook.com/karensdinerglobal
ปิดท้ายกับร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันยุค 50s ใครที่เล่น TikTok หรือโซเชียลมีเดีย คงผ่านหูผ่านตากับการให้บริการของพนักงานร้านนี้ที่แสนหยาบคายและรุนแรง ที่น่าแปลกใจคือไม่มีลูกค้าคนไหนโกรธ แต่กลับหัวเราะขำขันกันซะงั้น ร้านนี้มีชื่อว่า “Karen’s Burger" ร้านเบอร์เกอร์ตามชื่อมนุษย์ป้าหัวเสียฝั่งอเมริกา ที่ชาวซิดนีย์ใช้มาเป็นคอนเสปในการทำร้านเบอร์เกอร์สาขาแรกเมื่อปี 2021 ด้วยคำว่า “Great Burgers & Rude Service” ฉีกแนวในเรื่องการให้บริการ ที่เข้าถึงความเป็นมนุษย์ป้าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนเรียกลูกค้า, การใช้สีหน้าบึ้งตึง (แอบกลั้นหัวเราะ), จิกกัดเหน็บแนบลูกค้า และพฤติกรรมอื่น ๆ อีกมาก ที่พบเจอได้กับมนุษย์ป้าขี้วีน แน่นอนว่าการให้บริการต้องมีกรอบความเหมาะสม พนักงานจะไม่มีการเหยียดเชื้อชาติ, เพศสภาพและสภาวะร่างกาย รวมไปถึงเบอร์เกอร์ที่เสิร์ฟ คงไว้ซึ่งรสชาติที่อร่อย สดใหม่ จากวัตถุดิบที่ดี ทางร้านยังมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ลูกค้าร่วมเล่น หรือจุดถ่ายรูปคู่ ไว้แชร์โลกออนไลน์ให้เพื่อนได้หัวเราะกัน
ที่มาภาพ : facebook.com/karensdinerglobal
อีกกิมมิคของร้าน คงเป็นการตั้งชื่อเมนูเบอร์เกอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น “The ‘I Want to See to Manager’ Karen” เลือกใช้วลีสุดฮิตของมนุษย์ป้า มาเป็นเมนูเบอร์เกอร์เนื้อวากิว เบคอน ชีสและซอสบาร์บีคิว หรือจะ “The Fiery Karen” เบอร์เกอร์เนื้อวากิวที่มีรสเผ็ดร้อนจากซอส Peri-Peri อีกทั้งยังมีเมนูอื่นอย่าง “Karen’s Leafy Bowl” จานสลัดราดซอสฮันนี่มัสตาร์ด หรือจะเป็นเมนูเครื่องดื่มแอลกฮออล์ “Spicy Karen”, “The City Karen” , “I’ve Been Waiting 10 mins. For Service” และอื่น ๆ อีกมาก ช่างเป็นร้านที่มีความคิดสร้างสรรค์และนำคอนเสปมาประยุกต์ใช้กับทุก ๆ จุดในร้านได้อย่างชัดเจน
ที่มาภาพ : facebook.com/karensdinerglobal
ร้านเบอร์เกอร์ธีมนี้ ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนสามารถขยายสาขาไปต่างเมืองและที่นิวซีแลนด์ จนไปถึงทวีปอเมริกา, อังกฤษ และเยือนเอเชียในประเทศอินโดนีเซีย ใครอยากไปสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารรูปแบบใหม่ล่ะก็ เจอกับ Karen’s Diner ได้ที่สาขา South Bank ติดกับ Nandos หรือจะเป็นที่ Surfer Paradise ที่ Gold Coast ที่นี่จะเปลี่ยนมื้ออาหารที่สุดแสนจะน่าเบื่อ เป็นทางการ ให้กลายเป็นร้านที่คุณสามารถเป็นตัวเองและสนุกได้อย่างเต็มที่
ยังมีอีกหลายร้าน ที่ทั้งอร่อยและมีชื่อเสียงจนต้องเปิดขยายออกไปหลายสาขาทั่วประเทศ หากได้เจอร้านที่ถูกใจแล้ว มีโอกาสก็อยากให้ลิ้มรสชาติดั้งเดิม กับร้านต้นตำหรับประจำเมืองนั้น ๆ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างร้านแรกกับสาขาอื่น
เผลอ ๆ อาจจะค้นพบความอร่อยที่แตกต่างกันก็เป็นไปได้