เรียกได้ว่าชาวออสเตรเลียได้ชมก่อนใครเพื่อนเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ สำหรับหนังเรื่องนี้ “Everest (2015)” ชื่อเป็นไทยว่า ไต่ฟ้าท้านรก เปิดฉายรอบพิเศษไปเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา โดยผู้สร้างเค้าบอกว่าถ่ายทำในระบบ Real 3D และ IMAX หากใครอยากสัมผัสยอดเอเวอเรสต์แบบทิ่มตาก็ลองดูได้ ดูแล้วมาเล่าให้ฟังด้วยนะว่าเป็นยังไง เพราะปีศาจน้อยดูรอบธรรมดา
เทรลเลอร์ของหนังเรื่องนี้ ดูครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกว่าอยากดูทันที ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ชอบหนังแนวดราม่าเท่าไร สิ่งที่เราเห็นในเทรลเลอร์คือเหมือนหนังจะโชว์เรื่องราวความเป็นอุปสรรคและตื่นเต้นในการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งตัดต่อออกมาได้ทำให้เรามีความสนใจอยากรู้เรื่องราวของมัน
เนื้อเรื่องคร่าว ๆ (แบบไม่สปอยล์) และนักแสดง
เรื่องราวทั้งหมดของหนังได้อ้างอิงจากเหตุการณ์จริง ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1996 เกี่ยวกับกลุ่มนักปีนเขาที่ขึ้นไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก.. “เอเวอเรสต์” ในประเทศเนปาล หากใครอยากทราบก็ลองเสิร์ชกูเกิลหาดูได้ “1996 Mount Everest..” แต่ถ้าไปทำความเข้าใจกับเรื่องราวของตัวหนังเอาในโรง ก็จะได้อารมณ์อีกแบบ
สำหรับนักแสดงนำที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง ก็จะมี Jason Clarke ที่รับบทเป็น Rob Hall, Thomas M. Wright รับบทเป็น Michael Groom, Martin Henderson รับบทเป็น Andy 'Harold' Harris, Sam Worthington รับบทเป็น Guy Cotter, Emily Watson รับบทเป็น Helen Wilton, Keira Knightley รับบทเป็น Jan Arnold, Josh Brolin รับบทเป็น Beck Weathers และ Jake Gyllenhaal รับบทเป็น Scott Fischer
รีวิวหนัง
ตัวหนังจริง ๆ ต้องยอมรับเลยว่ามุมมองการถ่ายทำในเรื่องของวิวทิวทัศน์ ทำได้ดีมาก สัมผัสได้ถึงความสวยงามของสถานที่ ความท้าทายของการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ และรายละเอียดของทริปตั้งแต่เริ่มจนจบ
เนื้อหาของหนัง ดูแล้วได้ทั้งแรงบันดาลใจ ความตื้นตันใจ และก็เข้าใจมุมมองของชีวิต เป็นหนังที่ถ้าใครกำลังเผชิญหน้ากับมรสุมชีวิต น่าจะช่วยให้มีกำลังใจและแรงฮึดสู้ได้ แสดงถึงมุมมองของคนที่เราเจออยู่ในชีวิตประจำวัน และความเป็นคน การแก่งแย่ง ความเห็นแก่ตัว การเอาตัวรอด การเสียสละ จิตใจที่ทำเพื่อคนอื่น การยอมรับลิมิตของตัวเอง หน้าที่ความรับผิดชอบ และการค้นพบสิ่งที่มีความหมาย แรงผลักดันที่ทำให้เราเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ยอมแพ้..
การถ่ายทอดเรื่องราวของหนัง จุดสำคัญไม่ได้เน้นไปที่ความตื่นเต้นเหมือนหนังผจญภัยมรสุมเรื่องอื่น ๆ แต่ก็มีฉากตื่นเต้นที่เสียวจากมุมมองกล้องและการตัดต่ออยู่เหมือนกัน ตัวหนังโฟกัสที่บุคลิกลักษณะของตัวละครแต่ละตัว และความสัมพันธ์ของพวกเขา การตัดสินใจ การโต้ตอบกันของแต่ละคนในสถานการณ์ต่างกัน หากใครที่พอมีความรู้เรื่องเอเวอเรสต์อยู่บ้าง คงจะพอทราบว่า เอเวอเรสต์เป็นสถานที่ที่จะทำให้ตัวตนที่แท้จริงของคนแสดงออกมา ยิ่งปีนสูงขึ้นก็ยิ่งแสดงความเป็นตัวตนแต่ละคนให้ออกมามากยิ่งขึ้น
โดยรวม
สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการปีนเขาและเมาท์เอเวอเรสต์แล้ว หนังเรื่องนี้จุดประกายความอลังการ ความน่าค้นหา และประวัติศาสตร์ของเอเวอเรสต์ และการปีนเขาได้อย่างน่าทึ่งมาก แต่ถ้าคาดหวังเรื่องฉากแอคชั่นตื่นเต้นก็อาจจะผิดหวังเล็กน้อย โดยรวมให้ 8/10 อากาศที่บริสเบนช่วงนี้ยังคงเย็น ๆ ไปดูก็จะได้บรรยากาศเพิ่มมากขึ้น