ประสบการณ์การเดินทางที่ตื่นเต้นเล็ก ๆ กับ... เครื่องดีเลย์และพักค้างคืนที่โรงแรมในสนามบิน แน่นอนว่าการเดินทางทุกครั้งอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไร 100% เคยคิดกันเล่น ๆ มั้ย? เวลาขึ้นรถลงเรือว่า เอ..เราจะเดินทางถึงที่หมายอย่างอย่างราบรื่นมั้ยหนอ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรืออุปสรรคที่ทำให้ล่าช้า แม้กระทั่งจากตัวเราเอง เช่น ลืมเอกสาร ลืมพาสปอร์ต ลืมนั่นลืมนี่ รถติด ตกเครื่องบ้าง เพราะถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็คงต้องมีหงุดหงิดอย่างแน่นอน
ที่เกริ่นมากว่าหนึ่งย่อหน้าคือจะบอกว่า โดยส่วนตัวแล้วเคยประสบกับเหตุการณ์ไม่ปกติของการเดินทางด้วยเครื่องบิน หนักสุดก็แค่เครื่องดีเลย์ไป 1-2 ชั่วโมง พร้อมกับระบบเอนเตอร์เทนเม้นบนเครื่องไม่ทำงาน คือเป็นการบินแบบ low cost ไปโดยปริยาย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ความกังวลที่ผ่านเข้ามาแวบ ๆ ในหัวเวลาเดินทางก็กลายเป็นเรื่องจริง
เป็นการเดินทางจากประเทศไทยไปยังเมืองบริสเบน ออสเตรเลีย ด้วยการบินไทย ในการเดินทางครั้งนั้นเราได้ต่อเครื่องมาจากต่างจังหวัด และเช็คอินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจากต้นทาง ก่อนมาต่อเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือที่เรียกกันว่า "ผู้โดยสาร C.I.Q" ผู้โดยสารขาออกที่ผ่านพิธีการศุลกากร (Custom) การตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) และผ่านด่านตรวจกักกันพืชและสัตว์ (Quarantine) มาเรียบร้อยแล้ว และจะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเวลาจะเดินทางเข้าประเทศออสเตรเลีย พวกเราจะต้องโดนตรวจกระเป๋าก่อนขึ้นเครื่องกันตรงหน้า Gate อีกรอบ โดยไม่สามารถนำของเหลวที่มีปริมาณเกินกำหนดขึ้น ใครที่ชอบพกน้ำติดตัวก็ต้องดื่มให้หมดไม่ก็เททิ้ง หรือถ้าซื้อของใน duty free ก็ต้องแจ้งกับพนักงานว่าเราจะเดินทางไปออสเตรเลียนะ พนักงานเค้าก็จะบอกปริมาณของเหลวที่เราสามารถหิ้วขึ้นเครื่องได้และทำการซีลถุงให้ โดยเราจะต้องไม่แกะถุงออกตลอดการเดินทาง เคยเห็นคนนึงเพิ่งซื้อครีมทาตัวหลอดใหญ่ของ Victoria’s Secret แต่ไม่ได้ใส่ถุงซีลของ duty free ต้องทิ้งไปเลย
เข้าเรื่อง.. หลังจากผ่านการตรวจกระเป๋า เดินลงบันไดไปขึ้นรถบัส ชมความกว้างใหญ่ของสนามบินสุวรรณภูมิ ลงจากรถแล้วขึ้นบันไดเพื่อขึ้นเครื่องบิน เที่ยวบินของเราคือ TG 473 ตามกำหนดการต้องเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนเวลาเที่ยงคืน 12.01am ถึงบริสเบนตอนเวลาเที่ยงวัน 12.05pm
หลังจากเก็บสัมภาระนั่งรัดเข็มขัดเรียบร้อย เนื่องจากเป็นเที่ยวบินกลางคืน ก็งีบสลบระหว่างรอผู้โดยสารขึ้นเครื่องกันจนครบและเครื่องพร้อมออก วันนั้นเกิดการดีเลย์ประมาณชั่วโมงนึง คาดว่าน่าจะรอผู้โดยสารต่อเครื่องจากสายการบินอื่น เพราะเที่ยวนั้นเป็น code share กับอีกสองสายการบิน ที่ว่างที่เล็ง ๆ ไว้ก็เลยเต็ม แห้วไป หลังจากพนักงานปิดประตูเครื่อง ก็มีการดีเลย์ขึ้นอีก เนื่องจากมีเครื่องบินต่อคิวบนรันเวย์ยาวมาก พอถึงคิวเครื่องของเราออกจากท่า กัปตันได้กล่าวขอโทษถึงความล่าช้า เราก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเรื่องดีเลย์ก็เป็นปกติของการเดินทางอยู่แล้ว ในขณะที่กำลังเคลิ้ม ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เหลือบไปเห็นวิวข้างนอก ทำไมเครื่องบินมันวิ่งกลับเข้ามาตรงท่าจอดล่ะ? เพื่อน ๆ ผู้โดยสารก็งงกันไปด้วย
กัปตันแจ้งว่าในขณะที่เครื่องกำลังจะขึ้น ได้มีข้อความเตือนขึ้นมาสองข้อความด้วยกัน เป็นปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง เพื่อความปลอดภัยจึงต้องกลับท่าเพื่อให้วิศวกรเข้ามาตรวจเช็ค ผ่านไปประมาณอีกหนึ่งชั่วโมง กัปตันรายงานว่าพบปัญหาอยู่สี่อย่างด้วยกัน ปัญหาสามอย่างได้ถูกแก้ไปแล้ว เหลืออันสุดท้ายที่แก้ไม่ได้ จะต้องทำการเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งขณะนี้กำลังรอชิ้นส่วนอะไหล่ตัวใหม่และให้วิศวกรทำการเปลี่ยน โอ้! นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ ซะแล้ว ดีนะที่ระบบมันเตือนก่อนว่าอย่าเพิ่งบิน ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าระบบมันเตือนหลังเครื่องออกจะเกิดอะไรขึ้น ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงอันสุขุมของกัปตันอีกว่า หลังจากที่ได้เปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่เรียบร้อยแล้วก็ยังมีข้อความเตือนขึ้นมาจากเครื่องบิน และกัปตันได้ตัดสินใจว่าเครื่องบินลำนี้ไม่อยู่ในสภาพที่กัปตันจะทำการบังคับบินได้ โปรดรอฟังการอัพเดทจากพนักงานของเรา... ฟังจบก็คิดในใจ เป็นเพราะเรากังวลมากไปมันเลยกลายเป็นแรงดึงดูดให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น!?
ซักพักพวกเราผู้โดยสารทั้งหมดก็ทำการลงจากเครื่อง ขึ้นรถบัสเพื่อกลับไปยังตึกผู้โดยสาร ผู้โดยสารหลายคนก็มีอายุค่อนข้างเยอะ บางคนแบกกระเป๋าสัมภาระลงบันไดด้วยความเหนื่อยล้า พอถึงตึกผู้โดยสาร เราต้องขึ้นไปชั้นสอง เนื่องจากบันไดเลื่อนมีแต่ขาลง ขาขึ้นต้องเดินขึ้น ตอนนี้ล่ะที่เสียงบ่นพึมพำเริ่มดังขึ้นกว่าเดิม เหลือบไปดูนาฬิกาก็ตีสามกว่าแล้ว หลังจากผู้โดยสารลงจากเครื่องมากันจนครบ พนักงานภาคพื้นดินก็ทำการเรียกผู้โดยสารที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่มาจากจังหวัดอื่น ไม่ใช่กรุงเทพฯ มีสติ๊กเกอร์ C.I.Q แปะตรงหน้าอก ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไม มารู้ตอนหลังว่าถ้าเราเช็ค ต.ม. มาจากที่อื่น แล้วจะออก ต.ม. ที่กรุงเทพฯเพื่อกลับเข้ามาใหม่ เราจะต้องเสียเงินหลายร้อยบาท ก็มีเพื่อน ๆ ในไฟลท์นี้ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเราประมาณ 30 คนได้ พนักงานก็ถามแต่ละคนว่าใครมากับใคร เพื่อที่เค้าจะจัดห้องพักในสนามบินให้ เราก็คิดในใจ ว้าว! ดีจุง เพราะเคยคิดจะลองพักโรงแรมในสนามบินครั้งนึง แต่ดูราคาแล้วก็กลัวว่าจะไม่คุ้มเพราะเรารอขึ้นเครื่องแค่ไม่กี่ชั่วโมง ครั้งนี้ก็ถือว่ามีโอกาสได้ลองพักไปเลย
โรงแรมที่เราพักคือ Miracle Transit Hotel อยู่ในตัวอาคารผู้โดยสารเลย เข้าไปด้านในก็คล้าย ๆ บรรยากาศของโรงแรมอยู่นะ วิวตรงกระจกของห้องถ้าเปิดผ้าม่านก็จะเห็นทางเดินในสนามบิน พร้อมกับมีคนเดินไปมา โรงแรมมีหลายห้องพักด้วยกัน ตอนเช็คอินพนักงานก็จะให้เราทิ้งหนังสือเดินทางกับบัตรโดยสารไว้ ตอนเราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมถึงจะได้คืน และพนักงานก็แจ้งกับเราว่าจะโทรอัพเดทไปที่ห้องอีกทีว่าไฟลท์ของเราเลื่อนไปบินรอบกี่โมง ซึ่งบริการนี้ถือว่าดีมากสำหรับการช่วยประสานงานกับทางสายการบินให้กับเรา
มาดูในส่วนของภายในห้องพัก ก็สะอาดสะอ้าน มีห้องอาบน้ำฝักบัวพร้อมสบู่เหลว ยาสระผม ครีมนวด ครีมทาตัว ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำดื่ม น้ำส้มกล่อง กาแฟ ชา กาต้มน้ำ และสิ่งสำคัญ..จอทีวีอัพเดทข้อมูลเที่ยวบินขาออกของสนามบินภายในห้องเลย ในขณะนั้นตอนที่เราถึงห้องก็เป็นเวลา ตี 4 กว่าแล้ว เราก็อาบน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อจะงีบหลังจากเหนื่อยจากการต่อไฟลท์และเครื่องดีเลย์มาหลายชั่วโมง และก็แปลกที่เหมือนเราจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ปกติจะไม่พกแปรงสีฟัน สบู่ล้างหน้า เครื่องแต่งตัว ที่ชาร์ตโทรศัพท์มือถือ ในการเดินทาง แต่รอบนี้คิดว่าเราจะไปถึงบริสเบนช่วงเที่ยงก็น่าจะต้องล้างหน้าตาแต่งตัวซะหน่อย เลยทำให้โชคดีไป ถ้าจะขาดคงเป็นชุดชั้นในและเสื้อผ้าที่ไม่มีเผื่อมาด้วย
ห้องเตียงคู่โรงแรม Miracle Transit Hotel ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
จอทีวีอัพเดทตารางเที่ยวบินขาออก
นอกจากจะได้พักฟรีแล้ว ทางโรงแรมก็มีอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ให้ทานฟรีด้วย จะเน้นไปทางอเมริกันเบรคฟาสต์ ไข่ดาว ไส้กรอก ขนมปัง ผักสลัด ผลไม้ เพสตรี้ ชา กาแฟ โกโก้ร้อน น้ำผลไม้ นมสด มีข้าวผัดกับซุปสำหรับคนทานหนักมื้อเช้า หลังจากอิ่มเรียบร้อย เราก็ไปเช็คความคืบหน้ากับพนักงานที่เคาน์เตอร์โรงแรม เค้าก็บอกว่ายังไม่ทราบกำหนดการที่แน่นอน เวลาประมาณเที่ยงจะโทรมาที่ห้องเพื่ออัพเดทเที่ยวบินของเรา ก็กลับห้องมานอนเกลือกกลิ้งงีบเล็ก ๆ นั่งเล่นเนท ออ..ลืมบอกไปว่าทางโรงแรมมีอินเตอร์เนตให้ใช้ฟรีด้วยนะ หลังจากรออยู่ไม่นานทางโรงแรมก็โทรมาแจ้งเวลาไฟลท์ใหม่ของเราออกตอนเวลาบ่าย 2 เราจึงเก็บของเช็คเอาท์พร้อมรับหนังสือเดินทางและบัตรโดยสารคืน
อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์
ห้องอาหารติดกับทางเดินสนามบิน
ที่ห้องอาหารก็ยังมีจอแสดงเที่ยวบินขาออกให้ผู้เข้าพักได้เช็คอัพเดท
มีคอมพิวเตอร์พร้อมอินเตอร์เน็ตให้ใช้งาน
เดินจากโรงแรมไม่ไกลมากเราก็มาถึงที่ Gate ใหม่ ขึ้นเครื่องรอบนี้ไม่ต้องขึ้นรถบัสแล้ว เดินจาก Gate ขึ้นเครื่องเลย ไม่มีการตรวจสัมภาระก่อนขึ้นด้วย ทุกอย่างราบรื่นและรวดเร็วมาก ๆ ในช่วงขณะที่นั่งรอจะขึ้นเครื่อง ก็ได้ยินเพื่อนร่วมทางชาวออสซี่หลายท่านเม้าท์มอยกันถึงประสบการณ์ในครั้งนี้กันอย่างขำ ๆ ว่าเป็นประสบการณ์ในการเดินทางที่แปลกดี ตั้งแต่เรื่องที่ต้องขึ้นลงบันไดเพื่อขึ้นรถบัสไปขึ้นและลงจากเครื่องบิน ยังต้องมาเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะมาพักในห้องพักผู้โดยสารอีก หากใครที่ได้เดินทางไปหลาย ๆ ประเทศน่าจะเข้าใจว่าการขึ้นรถบัสเพื่อไปขึ้นเครื่องบินนี่เป็นเอกลักษณ์ของการเดินทางในไทยเลยก็ว่าได้ ในขณะที่ประเทศอื่นใช้งวงช้าง(สะพานเทียบเครื่องบิน) และรถไฟสำหรับผู้โดยสารในการเดินทางระหว่างอาคารผู้โดยสาร (terminal) และประตูขึ้นเครื่อง (gate)
สรุปว่าการเดินทางครั้งนั้นใช้เวลาทั้งหมดราว 36 ชั่วโมง นับตั้งแต่ออกจากต้นทาง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ บางทีเวลาที่อะไรมันเป็นปกติเราเจอแบบเดิม ๆ ตลอด เรามักจะมองข้ามความพิเศษหรือสิ่งดี ๆ ไป เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รู้ว่ากัปตันต้องแบกรับความรับผิดชอบของผู้โดยสารและลูกเรือทั้งลำ มีความพยายามอย่างมากที่จะแก้ปัญหาเพื่อให้ผู้โดยสารได้บินอย่างรวดเร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน และเห็นผู้โดยสารต่างชาติขอบคุณพนักงานที่ตัดสินใจไม่ฝืนเอาเครื่องขึ้นหลังทราบปัญหา พนักงานทุกฝ่ายประสานกันอย่างดี ดูแลและให้บริการอย่างเต็มที่เพื่อความสะดวกสบายของผู้โดยสารอย่างที่สุด ในความโกลาหลนี่แหละทำให้เราเห็นว่าสายการบินเค้ามีการจัดการกับปัญหาอย่างไร