ประวัติศาสตร์ของการมอบเหรียญรางวัลนั้น มีที่มาอย่างยาวนานกว่าสองร้อยปี ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 18 ได้มีพิธีมอบเหรียญทองคำ ขึ้นที่สภาคองเกรส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในงานครั้งนั้นเป็นการสดุดีถึงนายทหารที่มีความสามารถและสร้างความสำเร็จให้แก่กองทัพและประเทศชาติ และหลังจากนั้นก็ได้มีการมอบเหรียญรางวัลมากขึ้นทุกปี โดยในงานดังกล่าวจะมีประธานนาธิบดีสหรัฐฯเป็นผู้มอบ และยังรวมถึงการยกย่องคุณความดีแก่ผู้เสียสละให้กับประเทศอีกด้วย โดยในงานจะมีการแบ่งระดับเหรียญรางวัลเป็น 3 ระดับ ได้แก่ เหรียญทอง มอบให้กับทหารระดับแม่ทัพ เหรียญเงิน มอบให้กับผู้บังคับบัญชา และเหรียญทองแดง มอบให้กับทหารทั่วไป
ในช่วงหลังของศตวรรษที่ 18 ได้มีการนำพิธีดังกล่าวเริ่มไปใช้กันอย่างกว้างขางโดยเริ่มจากราชวงศ์เดนมาร์ก ใช้เพื่อมอบรางวัลให้กับขุนนางและนักเรียนที่ทำผลงานได้ดี และกระจายไปยังที่อื่นๆในยุโรป โดยจุดเริ่มต้นจากการนำไปใช้ในกีฬา เกิดขึ้นจากชาวกรีกโรมัน(กรีซ) นำพิธีดังกล่าวมาใช้เพื่อมอบรางวัลในการแข่งขันกีฬา โดยชาวกรีกเชื่อว่า ผู้ที่ได้รับเหรียญทองจะได้อยู่ท่ามกลางเหล่าทวยเทพ สำหรับผู้ได้รับเหรียญเงินจะมีอายุยืนพร้อมกับได้อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และผู้ได้รับเหรียญทองแดงจะได้อยู่กับเหล่าวีรบุรุษ ในปี 1896 กรีซได้เริ่มจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นในครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ และได้นำเอาพิธีมอบเหรียญรางวัลมามอบให้กับนักกีฬาอย่างเป็นทางการ โดยรางวัลจะเป็นเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ตามลำดับ และทั้ง 3 รางวัลจะได้มงกุฏช่อมะกอก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะและสันติภาพ
ในการมอบเหรียญรางวัลยุคแรกๆทั้ง 3 เหรียญ จะมาจากแร่บริสุทธิ์ คือ ทองคำ เงิน และ ทองแดง และเริ่มมีการปรับมาใช้แร่แบบผสมหลังโอลิมปิกเกมส์ในปี 1912 โดยปรับให้เหรียญทองมีส่วมผสมของทองคำ 1.34% เงิน 93% และ ทองแดง 6% ส่วนเหรียญเงินมีส่วมผสมของเงิน 93% ทองแดง 7% และเหรียญทองแดงทำจากทองแดงบริสุทธิ์ ส่วนขนาดถูกกำหนดให้เส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 6 เซนติเมตร และหนาไม่น้อยกว่า 0.3 เซนติเมตร
ทั้งนี้การมอบเหรียญรางวัลเป็นเหมือนพิธีการสำคัญ ที่ใช้กันมาอย่างยาวนานในการแข่งขันกีฬา โดยนอกจากมูลค่าของเหรียญรางวัลแล้ว ยังเป็นการแสดงความยกย่องในความสามารถของนักกีฬาที่ทำการคว้าชัยชนะมาได้ อีกทั้งช่อมะกอกที่ได้รับยังเป็นการสื่อถึงสันติภาพและสปิริทของนักกีฬา