คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อเจ็บคอ ไอ มีเสมหะสีเหลือง สีเขียว หรือน้ำมูกสีเหลือง สีเขียว จำเป็นจะต้องได้ยาปฏิชีวนะหรือที่คนไทยมักเรียกว่ายาฆ่าเชื้อบ้าง ยาแก้อักเสบบ้าง และยังเชื่ออีกว่าถ้ายิ่งทานเร็วยิ่งดีหรือบางคนเชื่อว่าทานไว้ก่อนจะได้ไม่เป็นมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการศึกษาวิจัยในหลายปีที่ผ่านมาได้ยืนยันแล้วว่า ไข้หวัดและอาการต่างๆ ข้างต้นนั้นเกิดจากเชื้อไวรัสเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการหวัดมีมากกว่าสองร้อยสายพันธุ์ ดังนั้นคนๆ หนึ่งจึงสามารถเป็นหวัดได้ปีละ 6 ถึง 7 ครั้งก็ได้ อีกทั้งการศึกษาวิจัยหลายๆชิ้นพบว่า การให้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ทำให้หายจากหวัดเร็วขึ้นและไม่ได้เป็นการป้องกันไม่ให้เป็นหวัดรุนแรงขึ้น นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจทำให้ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกต้องเช่นกินไม่ครบขนาดกินไม่นานพอเปลี่ยนยาเองเป็นต้นหรือใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยๆมีโอกาสที่จะมีเชื้อที่ดื้อยาในร่างกายเมื่อไม่สบายต้องเข้ารพ.และจำเป็นต้องได้ยาปฏิชีวนะจริงๆ ก็อาจจะมีปัญหาว่าเชื้อที่ก่อโรคนั้นได้ดื้อยาไปแล้วทำให้การรักษายากขึ้นแพงขึ้นอีกทั้งเชื้อดื้อยาอาจแพร่กระจายไปในสังคมมากขึ้นทำให้การรักษายากขึ้นและแพงขึ้นในระดับประเทศได้
อาการหวัดนั้นมีความหลากหลาย แต่อาการส่วนใหญ่ก็จะมีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ และมีไข้ อาการดังกล่าวอาจเป็นได้ตั้งแต่ 3-10 วัน อาการไออาจมีได้ถึง 2 หรือ 3 สัปดาห์ ดังนั้น ผมจึงแนะนำให้ท่านซื้อยารักษาตามร้านขายยา หรือไปสถานพยาบาลตามสิทธิของท่านเพื่อรับยาตามอาการแต่ไม่ควรที่จะขอยาปฏิชีวนะมาใช้ หากแพทย์ที่ดูแลรักษาท่านหรือเภสัชที่ร้านขายยาแนะนำให้ท่านใช้ยาปฏิชีวนะก็ควรที่จะปฏิเสธ เพื่อที่ท่านจะได้หลีกเลี่ยงการได้รับยาโดยไม่จำเป็นและหลีกเลี่ยงโอกาสที่ร่างกายของท่านมีเชื้อที่ดื้อยามากขึ้น
เมื่อไหร่ที่ควรจะได้รับยาปฏิชีวินะ? ตามหลักวิชาการแล้วหากท่านมีอาการ 3 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ (ซึ่งเป็นอาการของต่อมทอนซิลและคออักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย) การให้ยาปฏิชีวนะก็จะมีประโยชน์ โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ จริงๆ แล้วการให้ยาปฏิชีวนะสำหรับคออักเสบนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียมากกว่าที่จะรักษาอาการคออักเสบเอง ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ได้แก่ กรวยไตอักเสบและลิ้นหัวใจรูมาติก (rheumatic heart disease) กลับมาที่ข้อบ่งชี้ของการให้ยาปฏิชีวนะในคออักเสบซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. ต่อมทอนซิลมีหนองและ/หรือจุดเลือดออก
2. ไข้สูง
3. ต่อมน้ำเหลืองที่คอส่วนหน้าโต
4. ไม่ไอหากมีอาการ 3 ใน 4 ข้อนี้จึงจะให้ยาปฏิชีวนะ
การให้ยาปฏิชีวนะ อาจพิจารณาให้ในกรณีอื่นๆ เช่น สงสัยว่าเป็นไซนัสอักเสบ ซึ่งยาปฏิชีวนะควรจะให้ในคนที่มีอาการน้ำมูกเยอะปวดในโพรงจมูก หรือไซนัส หรือมีน้ำมูกไหลลงคอ และมีอาการเหล่านี้มากกว่า 10 วันขึ้นไป หากเป็นจริงก็ต้องทานยาประมาณ 10 วัน ไม่ใช่ 5 วันหรือในรายที่เป็นหลอดลมอักเสบซึ่งยาปฏิชีวนะ ควรจะให้เมื่อคนๆ นั้นมีโรคปอดเดิมอยู่แล้ว ในผู้สูงอายุโดยเฉพาะมากกว่า 65 ปีขึ้นไป หรือในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผมหวังว่าหากท่านอ่านบทความนี้แล้วจะทำให้ท่านจะเลิกขอยาปฏิชีวนะหรือปฏิเสธที่จะรับยาปฏิชีวนะสำหรับหวัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ดังกล่าวหากท่านพบว่าบทความนี้มีประโยชน์กรุณาแชร์ต่อให้มากที่สุดครับเพื่อคนไทยจะได้เลิกใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเป็นหวัดสักที
ปล. สำหรับเพื่อนแพทย์และเภสัชกรทุกท่าน หากท่านเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์กรุณางดสั่งยาปฏิชีวนะสำหรับหวัดโดยไม่มีข้อบ่งชี้และหากต้องการแสดงความคิดเห็นก็ยินดีครับ
ดร.นพ.พสิษฐ์พล วัชรวงศ์วาน
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมายเหตุ บทความนี้เป็นบทความส่วนตัวและบทความนี้ไม่ได้ถูกคัดกรองและยอมรับโดยคณะหรือมหาวิทยาลัย
ข่าวล่าสุด: