ไปเล่นน้ำ นอนอาบแดด ดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ North Stradbroke Island
เมื่อสถานการณ์ระหว่างชายแดนรัฐเริ่มคลี่คลายลงบางส่วน ผู้คนจากหลายพื้นที่ (ยกเว้นบางจุด) สามารถออกจากบ้าน เดินทางท่องเที่ยวได้แล้ว (เย้!) แม้ว่าจะเริ่มผ่อนปรอนมากขึ้น แต่เราทุกคนก็ต้องระมัดระวังและรักษาความสะอาดให้มากขึ้นด้วย หากพูดถึงการท่องเที่ยวในวันหยุด เพื่อน ๆ หลายคนคงมีสถานที่ท่องเที่ยวในใจที่อยากจะไป เช่น ภูเขา ป่าไม้ ทะเล แต่วันนี้ (เมื่อปีที่แล้ว) คือวันที่เราได้ออกไปเที่ยวเกาะ ที่อยู่ใกล้แสนใกล้ใจกลางเมือง บอกใบ้ให้ด้วยว่าเดินทางไปได้โดยที่ไม่ต้องมีรถส่วนตัว แถมยังเป็นเกาะที่สวยงาม สงบ และไม่พลุ่กพล่านอีกด้วย ทายซิว่าเราไปที่ไหนมา...
...ยินดีต้อนรับสู่ North Stradbroke Island...
ขอบคุณรูปภาพจาก : larissadening.com
Straddie หรือ North Straddie คือชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการของเกาะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศ ลักษณะเกาะเป็นแบบทอดยาวทางใต้ แต่รู้หรือเปล่าว่าในอดีต เกาะนี้มีชื่อเพียง Stradbroke Island แต่เมื่อปี 1896 ได้เกิดพายุครั้งรุนแรง จนทำให้เกาะแบ่งออกเป็นสองส่วน จึงเรียกเกาะส่วนบนว่า North Stradbroke และซีกใต้เรียกว่า South Stradbroke ซึ่งไม่ได้เป็นที่นิยมในด้านการท่องเที่ยวเหมือนทางเหนือซักเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นเกาะขนาดเล็ก ที่ไม่ได้มีชายหาดสวย ๆ หรือจุดชมวิวสุดอลังการเหมือนกับ North Stradbroke นั่นเอง
ขอบคุณรูปภาพจาก : minjerribahcamping.com.au
อีกเรื่องน่ารู้ของ North Stradbroke Island นี่เป็นเกาะทรายที่ใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก! ซึ่งอันดับหนึ่ง ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล ที่แห่งนั้นคือ Fraser Island นั่นแหละ ซึ่งพื้นที่บนเกาะขนาดใหญ่แห่งนี้ แบ่งออกเป็น 3 เขตใหญ่ ได้แก่ Dunwish บริเวณที่เต็มไปด้วยพักอาศัยของผู้คนบนเกาะ อีกทั้งเป็นจุดขึ้นลงเรือ Ferry โดยสารไปกลับระหว่างฝั่งบริสเบน, Amity จุดท่องเที่ยวที่โอบล้อมด้วยป่าร้อนชื้น สามารถพบเจอพี่หมีโคอะล่าได้ และอีกจุดสุดท้ายซึ่งเป็นแหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นจุดที่เราจะได้ไปเที่ยว นั่นคือ Point Lookout ที่นี่มีชายหาดที่ทอดยาวตลอดแนว และร้านอาหาร ที่พักเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีจุดชมวิวยอดฮิต ที่บอกเลยว่าสวยจนต้องทึ่ง ถ่ายรูปมุมไหนก็ต้องตะลึง รู้ตัวอีกทีก็มีรูปในกล้องหลายร้อยรูปไปซะแล้ว
...เริ่มออกเดินทางกัน...
การเดินทางในครั้งนี้ มาครบหมด ทั้งรถ เรือ ราง...เราเริ่มต้นกันที่สถานีรถไฟใจกลางเมืองตั้งแต่ 8 โมงเช้า ที่ Central Station ด้วยขบวนรถไฟ Shorncliffe Line ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานี Cleveland Station (สามารถอ่านรายละเอียดเส้นทางรถไฟได้ที่นี่)
ลงรถไฟเสร็จ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงแม้ว่าสถานีจะไม่ได้อยู่ใกล้กับท่าเรือ Ferry เพราะเมื่อออกจากสถานี ก็มีป้ายที่ชี้ทางชัดเจน ให้เราเดินทางขึ้นรถบัสสาย 258 กันต่อ
รอไม่นานรถบัสก็มาถึง และพาเราไปส่งที่ Stradbroke Ferries เพื่อเข้าไปซื้อตั๋วเรือ ข้ามไปบนเกาะ North Stradbroke นั่นเอง (สามารถอ่านรายละเอียดรอบเรือได้ที่นี่)
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปโดยประมาณ หลับไปได้หนึ่งงีบ ก็เดินทางถึงเกาะฝั่ง Dunwich ซึ่งเราจะเดินทางไปที่ยังที่พักที่เราได้ทำการจองผ่าน Airbnb ด้วยรถบัสที่จอดอยู่บริเวณท่าเรือ เพียงสังเกตด้านหน้ารถที่ขึ้นโชว์ว่าไป “Point Lookout” เท่านั้นเราก้าวขาขึ้นรถโดยสารได้เลย (สามารถอ่านรายละเอียดรอบรถโดยสารบนเกาะได้ที่นี่)
เมื่อประตูรถโดยสารเปิดให้เราลงใกล้บริเวณที่พัก ก็สัมผัสถึงลมเย็น ๆ ที่ตีหน้า บวกกับวิวทะเลท่ามกลางต้นไม้สองข้างทาง แค่นี้ก็รู้สึกสบายใจและสงบอย่างบอกไม่ถูก และเซอร์ไพร์สไปอีก กับห้องพักที่เราจองมาเป็นบ้านพักตากอากาศ ที่มีครัว ห้องน้ำ และระเบียงในตัวที่เปิดออกมาก็พบกับความร่มรื่น พร้อมเตาบาบีคิว บ้าจริง ชั้นอยากย้ายมาอยู่ที่นี่นาน ๆ เหลือเกิน
ห้องพักและระเบียงสุดแสนจะ Cozy
ทริปนี้เราไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง แต่ได้ชวนเพื่อนสาวคนสนิทชาวญี่ปุ่นมาผจญภัยกับเราด้วย (อีกทั้งยังเป็นตากล้องให้เราอีกด้วยแหละ) ตลอดทริปที่เราเดินทางไปบนเกาะ สามารถพบเจอเพื่อนบ้าน 4 ขาสัญชาติออสซี่ อย่างเจ้าจิงโจ้ตลอดทางด้วยนะ ขอออกตัวเลยว่าไม่เคยเจอจิงโจ้ในระยะใกล้ขนาดนี้ (ถ้าไม่นับการไปที่สวนสัตว์นะ) เรียกได้ว่าธรรมชาติที่นี่สมบูรณ์และสงบจริง ๆ
ระหว่างทางที่มักเจอเหล่าจิงโจ้เพื่อนบ้านที่แวะมานั่งเล่น
หลังจากที่เราเก็บข้าวของที่ห้องพักเสร็จเรียบร้อย เราก็เตรียมข้าวของเพื่อไปเล่นน้ำทะเลกัน! เมื่อกางแผนที่ทั้งรูปแบบกระดาษและบนหน้าจอโทรศัพท์ พวกเราตัดสินใจเดินทางไปยังจุดแรก นั่นคือจุดชมปลาวาฬ (Whale Watching Platforms) ซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องหลงทาง เพราะตลอดเส้นทางเดินมีป้ายบอกทางเป็นระยะ ๆ และตลอดทางเดิน เป็นทางเรียบตลอดทาง แม้ว่าจะไม่เจอพี่ปลาวาฬตอนไปถึง แต่ก็ได้เห็นวิวทะเลฟ้าใสสุดลูกหูลูกตา เสียงคลื่นเคล้าไปกับเสียงนกร้องแว่วมาไกล ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไปอีก
หลังจากชมวิวเสร็จ และทานมื้อเที่ยงที่เตรียมแล้วเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากท้องฟ้าไม่เป็นใจให้เราได้ออกไปท้าลมแดดเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่หวั่น เดินทางไปชายหาดกันต่อที่ Deadmans Beach
พอเรากางผ้าปูบริเวณชายหาดปุ๊ป ท้องฟ้าแสนรู้งานก็เรียกเมฆฝนมาทักทายแบบพรำ ๆ แม้ว่าฝนจะตกลงมาเบา ๆ แต่ลมที่พัดมาโดนตัวนี่ทำให้ตัวสั่นได้ เลยขอหนีขึ้นฝั่งมาหลบฝนสักครู่ และเดินเลียบชายหาดจนฝนหยุดถึงที่ Cylinder Beach
ที่ Cylinder Beach คือหาดนี้นักท่องเที่ยวสามารถออกไปเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากเป็นจุดที่คลื่นไม่สูงมาก อีกทั้งมีการดูแลจากเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงเป็นจุดกางเต๊นท์ของนักท่องเที่ยว ที่มีสาธารณูปโภคให้เราใช้งานเพียบพร้อม เช่น ห้องน้ำ ก๊อกน้ำ รวมถึงสนามเด็กเล่นที่เรา (ซึ่งไม่ใช้เด็ก) ใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินที่นี่ยาว ๆ จนฝนเริ่มหยุดตก
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเย็น พระอาทิตย์ก็จวนจะลับขอบฟ้า เราสองก็เดินไปยังจุดชมวิวบริเวณ Point Lookout Conservation Area เพื่อถ่ายรูปทะเล ท้องฟ้า และเซลฟี่
ก่อนฟ้าจะใกล้มืด เราก็แวะ Supermarket เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่พัก เพื่อแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับการทำมื้อเย็นที่ห้องในค่ำคืนนี้ พร้อมชาอุ่น ๆ จิบก่อนนอน ยามค่ำคืนที่นี่อากาศเย็นสบาย ก่อนจะซุกผ้าห่มนอน เราไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 5 เพื่อตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นตกยามเช้าที่ Point Lookout Conservation Area
...เพราะธรรมชาติ สุดแสนอลังการกว่าสิ่งอื่นใด...
ท้องฟ้ายามเช้าแสนจะงดงาม คุ้มค่ากับการตื่นเช้าเหลือเกิน
เราตื่นเช้าพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้เมื่อคืน ล้างหน้าแปรงฟันพอเป็นพิธี พร้อมออกจากห้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าด้วยความงัวเงีย (และชุดนอน) แต่ก็ต้องขนลุกกับอุณหภูมิยามเช้าที่แสนเย็นยะเยือก ดีที่เราคว้าเสื้อคลุมมา 1 ชุดถ้วนก่อนออกจากห้อง
จิบกาแฟดำที่ระเบียงท่ามกลางต้นไม้
เมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้าแล้ว ก็ขอกลับไปที่ห้องเพื่องีบอีกสักนิด อาบน้ำแต่งตัวพร้อมทานมื้อเช้า ก่อนที่จะออกไปผจญภัยบริเวณ Headland Park ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของการมาเที่ยวทริปนี้เลย
เมื่อถึงที่หมาย จะเห็นผู้คนและรถยนต์จอดบริเวณนี้ค่อนข้างเยอะกว่าจุดอื่น ๆ เพราะจุดนี้มีทั้งร้านกาแฟ, ร้านขนมและร้านของฝากของที่ระลึก ขอบอกเลยว่าวันนี้ท้องฟ้าช่างสดใส (โดยเฉพาะในวันเดินทางกลับ) แสงแดดพ้นก้อนเมฆมาทักทายเราทั้งวัน ที่ Headland Park คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่มีเส้นทางยอดฮิต นั่นคือ Gorge Walk ซึ่งเป็นทางเดินเท้าที่เป็นสะพานไม้ลัดเลาะชายฝั่งติดทะเลระยะทางร่วม 1.2 กิโลเมตร ที่จะพาเรารับลมทะเลพร้อมวิวทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา โดยเฉพาะจุดชมวิวที่ North Gorge Point Lookout ที่นักท่องเที่ยวสามารถเกาะราวสะพานไม้เพื่อมองคลื่นทะเลขนาดใหญ่ซัดเข้าชายฝั่งอย่างช้า ๆ รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกับการเดินเส้นทางนี้
หลังจากที่เดินเล่นถ่ายรูปจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปเล่นน้ำทะเลกัน เราเดินไปที่ Deadmans Beach อีกครั้งหลังจากที่เมื่อวานฝนตก ลมพัดแรงจนทำให้เรายอมแพ้ วันนี้เราจะมาแก้เกมส์เมื่อวานอย่างสาสม!
และแล้วงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับบริสเบน วิธีเดินทางกลับก็เหมือนกับตอนเดินทางมา เราเดินเท้าออกไปรอรถโดยสารที่วิ่งจาก Point Lookout บริเวณป้ายรถเมล์ ที่มาตามตารางเวลา โดยราทานมื้อเท่ียงจาก Supermarket ในบริเวณนั้น ก่อนที่รถบัสจะเดินทางมาถึงช่วงบ่าย
เรานั่งเรือ Ferry, รถบัส และรถไฟกลับเข้าเมืองถึงเวลา 6 โมงเย็น ก่อนที่แยกย้ายกับเพื่อนระหว่างทาง แม้ว่าทริปนี้จะเป็นทริปสั้น ๆ แค่ 2 วัน 1 คืน แต่เป็นการชาร์จแบต พักผ่อนไปกับทะเลและธรรมชาติที่สดชื่น ใครที่อยากหาทริปสั้น ๆ เดินทางง่ายไม่ต้องขับรถ ขอแนะนำที่นี่เลย เพราะการชวนเพื่อนไปนั่งเล่นริมทะเลสวย ๆ ใกล้ตัวเมือง เป็นไปได้จริงที่นี่ ที่ “North Stradbroke Island”