ครั้งนี้เรามาแนะนำทริป 3 วัน 2 คืน ที่ O’Reilly’s Rainforest Retreat โดยแวะเดินเล่นที่ Tamborine Mountain เล่นกับอัลปากา แวะชิมไวน์ และ พาไปเดินป่าเส้นทางโหดสุดของ Mt O’Reilly ระยะทาง 13.9 กม. เลาะลำธาร ดูน้ำตก
วันที่ 1 - แวะทานข้าวและเดินเล่น Tamborine Mountain, ช้อปปิ้งของไปแคมป์, เดินเล่นชมวิวบนต้นไม้ Tree Top Walk
เริ่มทริปวันแรก เราเดินทางออกจากตัวเมืองบริสเบนกันประมาณ 9 โมงเช้า ด้วยเส้นทาง M3 และ M1 มุ่งหน้าไปยัง Tamborine Mountain อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดนิยมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริสเบน เป็นเมืองทางผ่านก่อนถึง Mt. O’Reilly จริงแล้ว ๆ ที่ Tamborine Mountain มีกิจกรรมเดินป่าและอะไรให้ทำอีกเยอะแยะมากมาย หากสนใจสามารถหาที่พักค้างคืนและเพิ่มระยะเวลาทริปเที่ยวของตนเองได้ สำหรับทริปนี้ของเรานั้นเพียงแวะทานเที่ยงและเดินเล่นนิดหน่อยเพราะต้องรีบไปซื้อของเพื่อไปแคมป์กันก่อน
ขับรถประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึง Tamborine Mountain ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Scenic Rim Region ในเขต South East Queensland และถือเป็นส่วนหนึ่งของ Gold Coast hinterland ที่มีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง คู่รักหลายคู่มักนิยมมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันแถวนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวจุดที่คนนิยมไปกันคือ “Gallery Walk” ถนนเส้นหลักที่รวมอาร์ตแกลเลอรี คาเฟ่ และร้านของฝากอยู่สองฟากฝั่งถนน
ร้านที่เป็นสัญลักษณ์ของ Tamborine Mountain ที่ใครไม่ได้เข้าถือว่ามาไม่ถึงคือ German Cuckoo Clock Nest – Cuckoo Clock Australia (https://clocks.com.au) ร้านนาฬิกาโบราณนกคุกคู (บนคนอาจจะงง อะไรคือนกคุกคู 555)
สำหรับสายดื่มแวะมาช้อปเพิ่มได้ที่ Castle Glen Mt Tamborine (https://www.castleglenaustralia.com.au/) ตามชื่อเลย ภายนอกดูเหมือนปราสาท ข้างในเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์หลากหลายชนิด ที่นี่เค้าขึ้นชื่อเรื่องการทำ Table Wine, Fortified Wine และ Sparkling Wine ในปี 2009 Castle Glen กลายเป็นโรงเบียร์แห่งแรกใน Granite Belt
และอีกที่หนึ่งสำหรับคอเบียร์โดยเฉพาะ คือ Fortitude Brewing Co. (https://fortitudebrewing.com.au) โรงเบียร์ที่มีเบียร์ให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่แอลกอฮอล์น้อย ๆ 2.8% “Pacer” หรือระดับธรรมดา 4-5% อย่าง “Pale Ale”, “Lager”, “Dry Irish Stout” ก็มี ขายแบบทั้ง on tap, กระป๋อง, หรือขวด Fortitude’s Brewery มีเบียร์สดให้เลือกกว่า 15 อย่างด้วยกัน ซึ่งเป็นเบียร์ที่ทำในโรงเบียร์ที่นี่ทั้งหมด สั่งพิซซ่ามาทานแกล้มกับเบียร์ หรือของขบเคี้ยวอย่างอื่นเขาก็มีขาย สำหรับใครที่อยากลองเบียร์หลากหลายชนิด ลอง Tasting Paddle $20 ได้ชิมเบียร์ 5 แก้ว (148ml)
ร้านที่เราเลือกทานวันนี้ คือ Le Chile Café หน้าร้านเก๋ไก๋ การตกแต่งร้านอินกับธรรมชาติสุด ๆ ยิ่งถ้าเข้าไปโซนหลังร้านจะได้บรรยากาศผ่อนคลายมาก ๆ เป็นร้านสไตล์คุณตาทำอาหารเอง เจ้าของร้านเป็นคุณตาและภรรยา อยู่กันสองคน พอเราสั่งอาหารจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์เรียบร้อย หาโต๊ะนั่ง เลยเห็นว่าคุณตาเข้าครัวทำอาหารและเสิร์ฟเอง น่ารักมาก ๆ แอบกลัวคุณตาจะหนักเพราะออเดอร์โต๊ะเราหลายอย่าง เลยช่วยคุณตายก เกือบเข้าไปล้างจานด้วยแล้ว ฮ่า ๆๆ ทั้งปริมาณและรสชาติอาหารใช้ได้เลย บางจานทานคนเดียวก็ไม่หมด ยิ่งต้องเผื่อท้องไว้จิบกาแฟจาก Byron Bay หรือฮอตช็อกโกแลตอุ่น ๆ ตบท้ายด้วยวาฟเฟิลทำสดใหม่ ๆ อร่อยเหาะ ที่ร้านยังมี Mayfield Chocolates ขายอีกด้วย
ทานเสร็จก็ถึงเวลามุ่งหน้าไป Mt O’Reilly กันต่อ เราไปแวะซื้อพวกของสดที่ FoodWorks และเติมน้ำมันในเมือง Canungra ซึ่งเป็นทางผ่าน ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่แม้จะมีของครบแต่ก็ไม่เยอะมากเท่าในเมือง ถ้าเป็นไปได้ซื้อมาจากบริสเบนจะดีกว่า แต่เราไม่มีถังเก็บความเย็นเลยเลือกที่จะมาซื้อที่นี่แทน สำหรับใครที่มองหาดริ๊งก็มีร้าน Liquor Legends อยู่ใกล้ ๆ กัน แม้ตัวเลือกแอลกอฮอล์นำเข้าจากเอเชียจะมีไม่มาก แต่ก็มีแบรนด์ดัง ๆ ที่คนนิยมให้เห็นอยู่บ้าง ช้อปเสร็จก็มุ่งหน้าไปถึงจุดหมายที่ O’Reilly’s Rainforest Retreat เพื่อเช็คอินกัน
ถึงจุดหมายหลักของเราแล้ว.. "O’Reilly’s Rainforest Retreat" พนักงานที่นี่ให้การต้อนรับยิ้มแย้มแจ่มใสอัธยาศัยดีมาก ที่แอบตกใจนิด ๆ คือ แขกที่ไปพักส่วนใหญ่จะเป็นเอเชีย และจำนวนคนที่เข้าไปเช็คอินช่วงเดียวกับเราวันนั้นรู้สึกว่าคึกคัก เพื่อนที่ไปด้วยเลยบอกว่าอันนี้คือคนน้อยละนะ ตอนแรกนึกว่าจะเยอะกว่านี้ เพราะปกติช่วงสุดสัปดาห์รถจะติดมากแบบขึ้นลงจากเขาไม่ได้เลย หลังจากเชคอินได้กุญแจมาแล้วก็ขึ้นรถขับไปบริเวณที่พัก ไม่เกิน 2 นาทีก็ถึง ที่พักที่นี่มีให้เลือกหลายแบบ ซึ่งก็จะแบ่งกันเป็นโซน ๆ ไป ทั้งห้อง studio, bed room suite, villa (มีอ่างจากุซซี่อยู่ตรงระเบียงให้แช่ชมดูวิว เตาบาร์บีคิว เครื่องซักผ้า และครัวสำหรับทำอาหาร แต่ว่าต้องพัก 2 คืนขึ้นไป) หรือใครชอบลุย ๆ เข้าถึงธรรมชาติก็มี campground ให้ด้วย ซึ่งมีทั้งแบบ campsite, campervan/ camper trailer และ tent
เก็บข้าวของเข้าที่เรียบร้อย ก็ออกไปทำกิจกรรมเบา ๆ กัน ด้วยการเดินเล่นสูดกลิ่นธรรมชาติใกล้ ๆ กับที่พัก Tree Top Walk, Wishing Tree และ Mick’s Tower
Tree Top Walk เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ O’Reilly’s Rainforest Retreat เดินบนสะพานแขวน 9 อัน สูงกว่า 16 เมตรจากพื้นดิน เพื่อชมวิวมุมสูง เปิดให้คนทั่วไปเข้าได้ตลอดทั้งวันทั้งปีโดยไม่มีค่าเข้า
Wishing Tree เป็นโพรงรากไม้ขนาดใหญ่ ระยะทางเดินไปกลับประมาณ 2.4km จาก Wishing Tree สามารถเลือกไปทางซ้ายเพื่อไปยัง Glow Worm Gully หรือจะเดินตรงต่อไปจนถึง Morans Creek
Mick’s Tower เป็นหอชมวิวที่ต้องปีนขึ้นไป 2 ชั้น ใครที่ไม่ชินกับการปีนป่ายบันไดลิงอาจจะเกร็ง ๆ หน่อย แค่วิวของชั้นที่ 1 ก็ดูโอเคละ หากขึ้นไปชั้นที่ 2 ก็จะเห็นแม่กุญแจมาล๊อคอยู่พอสมควร ใครจะพาแฟนไปโรแมนติกตรงจุดนี้ก็ไม่ว่ากัน
ออกจากป่ามาแวะให้อาหารน้องนกซะหน่อย ซึ่งเป็นนกที่อาศัยตามธรรมชาติในพื้นที่ โดยสามารถเห็นทั่วไปรอบที่พักของเรา แต่ไม่รู้ว่านกที่นี่มีแต่ตัวเมียหรือเปล่า สาว ๆ ให้อาหารไม่ค่อยสนใจเลย :( ใครสนใจให้อาหารน้องนก สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายของชำใกล้ ๆ
ชมวิวป่ากันพอหอมปากหอมคอ เปลี่ยนไปชมวิวสระน้ำบ้างดีกว่า ที่ Infinity Pool สระน้ำสำหรับแขกที่มาพักเท่านั้น เพราะเป็นสระที่สร้างอยู่บนที่สูง พอพ้นขอบสระไปจึงเห็นวิวป่าในมุมมองที่ไม่สามารถเห็นได้จากสระว่ายน้ำทั่วไป ได้อารมณ์การมาพักผ่อนจริง ๆ แม้ว่าเราจะเดินทางไปในช่วงหน้าร้อน แต่น้ำที่นี่ก็เย็นใช้ได้เลย ลงไปแรก ๆ อาจจะมีอาการสั่น ๆ หน่อย แสงอาทิตย์เริ่มลดลงความเย็นก็เริ่มเพิ่มขึ้น หนีไปแช่น้ำอุ่นในอ่างจากุซซี่ชมพระอาทิตย์ยามเย็นต่อดีกว่า
คืนนี้พวกเราทานกันง่าย ๆ มาม่าคนละถุงใส่ไข่หน่อยเพิ่มโปรตีน เก็บแรงเตรียมไว้เดินป่ากันพรุ่งนี้
วันที่ 2 - เดินป่า Mt. O’Reilly เส้นทาง 13.9 กม.
ตื่นตอนเช้าในป่า มันได้บรรยากาศที่แตกต่างจากทุกวันจริง ๆ ไม่ได้ตื่นจากเสียงรถราหรือการก่อสร้าง แต่เป็นเสียงนกน้อยออกหาอาหาร แน่นอนว่าเราเตรียมอาหารนกมาเททิ้งไว้ตรงระเบียงเพื่อการนี้ ใกล้ชิดกับธรรมชาติและสัตว์ป่า จิบกาแฟอุ่น ๆ ดูท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างเปลี่ยนเฉดสีรับวันใหม่ ทานอาหารเช้ากันให้เต็มที่ วันนี้ต้องใช้พลังงานเยอะ
ออกจากที่พักประมาณ 9.30am เตรียมเสบียงอาหารเที่ยงคือแซนด์วิช แอปเปิ้ล และขนม สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำเปล่า เราไปแวะตรงรีเซฟชั่นเพื่อขอข้อมูลการเดินป่า เส้นทางไหนดี เนื่องด้วยเพื่อนร่วมทางเคยเดินมาหลายเส้น พอจะรู้ว่าเส้นไหนมีจุดที่น่าสนใจ บวกกับอยากลองเดินเส้นทางใหม่ดู จึงเลือกเส้น West Canungra Full Circuit แค่ชื่อขึ้นต้นมาก็เหมือนลางบอกว่าเส้นนี้น่าจะยาก เพราะชื่ออ่านยากเหลือเกิน รวมระยะทางไปกลับ 13.9 กิโล ใช้เวลาทั้งหมด 6 ชั่วโมง ระดับความฟิตของร่างกาย Moderate – Difficult รีบหันหน้าไปถามเพื่อน “เธอคิดว่าเราจะรอดไหม เรารู้สึกไม่ฟิตเลยร่างกายเป็นเหมือนพุดดิ้ง” 555 เพื่อนตอบด้วยสีหน้ามั่นใจในตัวเราสุด ๆ “เฮ้ย สบาย ๆ อยู่แล้ว เราฝ่าฟันอะไรด้วยกันมาอยู่ เราเชื่อว่านายทำได้!” ในเมื่อเชื่อมั่นในตัวกันขนาดนี้ เอ้า! ไปกัน
ช่วงชั่วโมงแรกอิ่มเอมกับธรรมชาติ เพราะอากาศค่อนข้างเย็น เดินสบาย ๆ หยิบกล้องออกมาถ่ายรูปโน่นนี่ คุยกันตลอดทาง ร้องเพลงก็มา เดินไป ๆ ทางเริ่มลาด เดินลำบาก ต้องระวังมากขึ้น เริ่มเจอผู้คนเดินสวนไปมา บ้างก็แซง คือทางมันเล็กและแคบมากบางจุด ขนาดเราคนเอเชียยังว่าเล็ก สำหรับพี่ออสนี่ถ้าเสียการทรงตัวอาจกลิ้งตกเขาไปได้ง่าย ๆ มีพี่ตากล้อง คาดว่าน่าจะมาถ่ายเก็บภาพพวกสัตว์ป่า หยุดเป็นจังหวะเจอกันหลายครั้งครา มีอยู่ครั้งนึง พี่เขาหยุดดูอะไร โอ๊ย ตกใจ คราบงูสด ๆ ใหม่ ๆ อยู่บนทางเลยจ้า หยุดหายใจไป 3 วิ ก่อนที่พี่จะบอกว่า It’s OK
เมื่อเข้าสู่ธรรมชาติก็ต้องใช้วิถีธรรมชาติด้วย ห้องน้ำไม่มีนะจ้า ไหว้ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วก็เข้าไปหลบมุมเขียวขจีกัน ดีที่เรามากันเป็นหมู่คณะ มีคนคอยดูต้นทางทั้งหน้าและหลัง ปลดทุกข์ได้อย่างโล่งใจ นอกจากว่าจะหันมาดูกันเอง 555 แต่บางคนก็ไม่รู้สึกว่าต้องปลดปล่อยแต่อย่างใด แม้ว่าจะเป็นระยะเวลากว่า 6 ชั่วโมง อาจด้วยเพราะร่างกายเสียน้ำ เหงื่อออกก็เป็นได้ น้ำเปล่าคนละขวดไม่พอจริง ๆ ต้องสองขวดกำลังดี แม้ว่าเริ่มต้นจะหนักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่ามันสำคัญ เพราะต้องจิบน้ำตลอด ไม่มีที่ให้เติม จะเติมจากน้ำตก ก็กลัวว่าจะมีคนปลดทุกข์อยู่ตรงต้นน้ำข้างบนรึเปล่า
เมื่อได้เวลาประมาณเที่ยง เราก็ถึงจุดชมวิว นั่งพักอิ่มเอมเย็นฉ่ำชื่นใจกับน้ำตก ทานข้าวกลางวันเติมพลังกันแล้วมุ่งหน้าไปต่อ เดินทางเส้นนี้ต้องคอยดูทางดี ๆ ว่ามันคือทางที่ถูกต้อง เพราะเขาไม่ได้มีป้ายปักบอกว่าให้ไปทางไหน จะมีแค่ป้ายหลักซึ่งจะเจออาจจะทุกชั่วโมง ยิ่งบางทีเราต้องข้ามน้ำด้วย ทางเดินต่ออยู่ฝั่งตรงข้าม ต้องกระโดดข้ามก้อนหินไป ใครกลัวลื่นล้มหัวฟาดก็ต้องลุยน้ำยอมเปียกช่วงล่างกันไป ซึ่งการที่จะข้ามไปอีกฝั่งนึง อยู่ที่วิจารณญาณส่วนบุคคลเลย เพราะมันขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำและความเชี่ยวในแม่น้ำ หากมาหน้าแล้งน่าจะปลอดภัยที่สุด ช่วงที่เราไปเป็นช่วงก้ำกึ่ง ก็จะเจอน้ำปิดเส้นทาง เดินวนเวียนหาทางอยู่หลายรอบ จนต้องมีผู้เสียสละข้ามฝั่งไปดูว่ามีทางไปต่ออีกฝั่งไหม ทุกคนช่วยกัน (จริง ๆ คือทุกคนช่วยเรา 555) รอดปลอดภัย
เดินต่อกันไปช่วงบ่าย แดดเริ่มร้อนมากขึ้น ทางเดินเริ่มเป็นโคลนเละตุ้มเป๊ะและลื่นมากขึ้น เริ่มมีเลือดตกยางออก ล้มบ้างไรบ้าง แนะนำให้ใส่ถุงเท้ายาวปิดข้อเท้า เพราะอาจจะโดนไม้เกี่ยวเลือดออกแบบไม่รู้ตัว ใครที่แพ้ง่ายต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีหนอนแมลงตกใส่จากต้นไม้แบบไม่รู้ตัว กว่าจะรู้อีกทีก็ผื่นขึ้นแดงไปแล้ว ใส่หมวกปีกกว้างและหาอะไรมาปิด ๆ คอหน่อย เพราะเป็นส่วนที่เรามองไม่เห็น แม้จะเหนื่อยและลำบากกับเส้นทาง พอมาถึงจุดชมวิว น้ำตกสวย ๆ ก็ชื่นใจ เพราะมันไม่ใช่วิวที่จะหาดูได้ง่าย ๆ บางทีกำลังเหนื่อย ๆ เจอคนที่เขามากันแบบร่างกายไม่ฟิต ขากะเผลก ๆ คนสูงอายุ ก็จะยอมแพ้พวกเขาไม่ได้นะ เราต้องไปต่อ
ในช่วงเวลาสองชั่วโมงสุดท้ายที่เดินกลับ น้ำหมด แรงหมด ความปวดหลาย ๆ อย่างเริ่มมา โดยเฉพาะปวดขาปวดเข่าปวดหลัง เป้าหมายตอนนี้ไม่ใช่เห็นวิวธรรมชาติสวย ๆ ละ แต่เป็นพวกเราต้องพากันกลับไปให้ถึงที่พัก วันนั้นเหมือนตัวเองเดินจงกรม พุทโธตลอดทาง ช่วยได้ ๆ หายใจลึก ๆ ยาว ๆ และในที่สุดเราก็กลับมาถึงที่พักก่อนร้านค้าปิด 5 โมงเย็น ได้ไอติมคนละแท่งเป็นรางวัล
คืนนี้เราจัดหนักแบบไทย ๆ หมูกระทะเสริมกล้ามเนื้อกัน แบกเตาและน้ำจิ้มไปกันเอง เล่นเกมผ่อนคลาย เป็นวันที่รู้สึกว่ามันยาวมาก มันเหมือนว่าเราได้ใจจดใจจ่อกับทุกก้าวที่เราเดิน ความคิดไม่ฟุ้งซ่าน โฟกัสแต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า แล้วได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะทำได้สำเร็จ มีเพื่อนร่วมเดินทาง ช่วยเหลือ แชร์ความสุข สร้างความทรงจำดี ๆ เป็นอีกหนึ่งวันที่เติมพลังให้ชีวิต
วันที่ 3 - ทานอาหารเช้า เดินทางกลับบริสเบน
เช้านี้ เพื่อนเชฟจัดเมนูพิเศษซุปเห็ดมาแบบเป็นโฟม พร้อมอาหารเช้าแบบออสซี่ ไข่คน ไส้กรอก เบคอน สลัด ขนมปัง อลังการแบบบุฟเฟ่อาย ทานเสร็จก็มีเวลาไม่มากที่จะเก็บของเพื่อเชคเอ้าท์ก่อน 10 โมงเช้า โชคดีที่เราเลือกไปเดินป่ากันเมื่อวาน เพราะวันนี้ฟ้าครึ้มต่อจากฝนตกหนักเมื่อคืน คาดว่าเส้นทางที่เราเดินน่าจะทรหดมากยิ่งขึ้น
ก่อนออกจาก O’Reilly’s Rainforest Retreat เราแวะไปเดินดูของฝากที่ร้านใกล้ ๆ กับที่เช็คเอาท์ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าในท้องถิ่นเช่น ไวน์ แยม เทียน เครื่องปรุงทำอาหาร ตุ๊กตาน่ารัก ๆ ช้อปเสร็จเราก็ออกรถเดินทางกลับ
ทางกลับผ่าน Mountview Alpaca Farm แวะเล่นกับน้องอัลปากา และชิมไวน์ที่ O’Reilly’s Canungra Valley Vineyards เราสามารถให้อาหารและจูงอัลปากาเดินเล่นได้ ช่วงเดือน ต.ค. - มี.ค. จะเห็นน้องอัลปากาไว้ขนสไตล์หน้าร้อน ก็น่ารักไปอีกแบบ แต่หากใครชอบขนปุย ๆ แล้วต้องไปช่วง มิ.ย. - ก.ย.
จบแล้วทริปสั้น ๆ ไม่ยาวมาก 3 วัน 2 คืน เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองบริสเบน สุดสัปดาห์ไหนรู้สึกเซ็ง ๆ หากเบื่อทะเลอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปผจญภัยหรือพักผ่อนกับป่าเขา ชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจไปสร้างความทรงจำใหม่ ๆ กัน
รายละเอียดสถานที่:
O'Reilly's Rainforest Retreat
3582 Lamington National Park Rd, Canungra QLD 4275
https://oreillys.com.au/