ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ-ต้นฤดูหนาวมาถึงก็ได้เวลาออกไปผจญภัยสักที ท้องฟ้าอากาศช่วงนี้ของออสเตรเลียมันสวยงามมาก ๆ หนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตของช่วงนี้ก็คือ การไปชมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กับการเดินทางรอบโลกตามวัฎจักรของมัน นั่นก็คือ.. วาฬ นั่นเอง ที่เรามักเรียกกันติดปากว่า ปลาวาฬ แต่จริง ๆ แล้ววาฬไม่ใช่ปลา สำหรับชนิดวาฬที่เราจะไปดูนั้นมีชื่อว่า วาฬหลังค่อม หรือ Humpback Whale โดยมีอยู่หลายแห่งในประเทศออสเตรเลียที่สามารถชมวาฬได้ รัฐควีนสแลนด์ของเราก็มีที่ให้ดูเช่นกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองบริสเบนเท่าไร ขับรถไปประมาณชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง สถานที่แห่งนี้ชื่อว่า Mooloolaba เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของ Sunshine Coast
UnderWater World SEA LIFE
เราเริ่มทริป ด้วยการออกจากตัวเมืองบริสเบนเวลา 8.45 น. ขับรถผ่านทางด่วนเส้น M1 ไม่นานนักก็ถึงที่หมายใน Mooloolaba จุดแรกที่เราจะไปคือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ UnderWater World SEA LIFE เวลาประมาณ 10.30 น. (ถ้าใครมาช่วงวันหยุดแนะนําให้ออกเช้ากว่านี้เพราะว่าหาที่จอดรถยากมาก)
บรรยากาศริมทะเลบริเวณรอบพิพิธภัณฑ์ฯ โอ้ว.. ลมมันพัดเย็นสบายดีจุง ถึงแม้ว่าจะอยู่ติดทะเลแต่ว่าไม่ได้กลิ่นทะเลเลย และตัวก็ไม่เหนียวหนึบหนับเหมือนเวลาไปทะเลที่อื่นอีกด้วย น้ําทะเลที่นี่เป็นสีเขียว มีปลาน้อยว่ายกันเป็นฝูงตรงริมทางเดินไปพิพิธภัณฑ์ วิวตรงจุดนี้มันช่างน่าเดินเล่นจริง ๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านแบบมีท่าเรือ มีเรือส่วนตัวจอดกันลายตา ได้บรรยากาศเมืองนอกไปอีกแบบ
ไปถึงหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์เค้าก็จะมีทางเข้าต่อสองแถว แถวนึงเป็น Express ticket สําหรับผู้ที่ซื้อตั๋วมาล่วงหน้า กับอีกแถวนึงสําหรับ General ticket คนที่มาซื้อตั๋วหน้างาน อย่างเรา ๆ แหะ ๆ แต่ดูไปแล้วแถว Express ยาวมั่ก ของเราไม่ต้องต่อเลย ราคาผู้ใหญ่ $38 เหรียญ Concession $30 เหรียญ เข้ามาเค้าก็จะให้เรายิ้มหวาน ๆ ยืนอยู่หน้าแบคกราวด์เพื่อให้เค้าถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก เอ้ย.. ที่ระลึก
ภายในพิพิธภัณฑ์มีสัตว์น้ำ ทั้งน้ำเค็มและน้ำจืด นอกจากปลาแล้วยังมีกบ เขียด คางคก จระเข้
เต่า ตะพาบ แมงกระพรุน แมวน้ำ ม้าน้ํา นาก กุ้ง ปู และงู โดยจะมีการแสดงและการบรรยายเป็นช่วง ๆ
ด้วยเวลาที่ประจวบเหมาะ เราโชคดีได้ดูการแสดงของเจ้าแมวน้ำเวลาเที่ยงตรง มีการให้คนเข้าร่วมแสดงด้วย มีการใส่มุขขํา ๆ สนุกสนานไปตาม ๆ กัน
ปีศาจน้อยชอบทางเดินกระจกที่เราสามารถมองเห็นเหล่าสัตว์น้ํานา ๆ ชนิดว่ายข้ามหัวเราไปมา และโซนแมงกระพรุนบรึ๋ย ๆ ยังกับดิสโก้เทค แต่เดินระวังกันหน่อยนะ กระจกมันลวงตา ก่อนถึงทางออกเราสามารถซื้อเซทรูปที่ถูกถ่ายไปเมื่อตอนเข้ามา มีโซนเพ้นท์หน้า และซื้อของที่ระลึก
เวลาบ่ายโมง เราก็มานั่งปิกนิกกินข้าวกันตรงสถานที่บาร์บีคิวใกล้ ๆ พิพิธภัณฑ์ ที่เดินผ่านมาตอนแรก ครอบครัวฝรั่งข้าง ๆ ก็ปิ้งบาร์บีคิวกันไป เราไม่สนเพราะเรามีลาบคั่วและน้ําพริกปลาย่าง ฮ่า ๆ ติดสปีดรีบกินกันหน่อย เพราะเรือชมวาฬของเราออกตอนบ่ายสองครึ่ง เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันลาบเลิบจะออกมาหมด ทานข้าวเสร็จน้องสาวผู้น่ารักก็ยื่นยาแก้เมาคลื่นให้ ซัดไปหนึ่งเม็ดเพราะไม่มั่นใจกระเพาะตัวเองเหมือนกัน
Whale Waching
ที่ขึ้นเรือของเราก็อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์ เราใช้บริการของ Whale One Cruises (เช็คตั๋วราคาโปรโมชั่นได้ในท้ายบทความ) แต่หากมากันเป็นกลุ่มใหญ่ก็สามารถได้ราคาพิเศษขึ้นไปอีก ครั้งนี้เราเดินทางพร้อมคณะของวัดไทยพุทธาราม จึงขอขอบคุณผู้จัดพร้อมหมู่คณะที่น่ารักมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
เรือพาเราผจญภัยในทะเลวันนี้เป็นเรือสองชั้น ทั้งชั้นบนและล่างต่างมีเก้าอี้และโต๊ะไว้ให้เราพักผ่อน ทานขนม ชา กาแฟ ซึ่งเค้าจะเตรียมไว้ให้เราบริการตัวเองก่อนช่วงเรือออก มีมันฝรั่งถุงขายเผื่อหิวด้วย ทุกคนต่างจับจองพื้นที่กันอย่างสนุกสนาน พอเรือออกก็มีเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้เรื่องเสื้อชูชีพ และการปฏิบัติตัวเมื่อเราจะแหวะ และจะต้องทํายังไงเมื่อเห็นคนตกน้ำ เรือแล่นไปช้า ๆ ชิล ๆ ปีศาจน้อยจับจองพื้นที่โซฟานุ่ม ๆ ที่ชั้นแรก ลมทะเลพัดใส่หน้าสดชื่นดีจริง ๆ ในใจก็คิดว่า อื้ม ประสบการณ์นั่งเรือดูวาฬครั้งแรกของเรานี่ดีเนอะ เรือไม่โคลงเคลงเลย หันไปดูรอบข้าง ผู้คนออกไปชุมนุมกันอยู่หัวเรือซะส่วนใหญ่ วิวสองฝากฝั่งเป็นบ้านริมทะเลและสวนสาธารณะ ผู้คนจูงน้องหมามาเดินเล่น บ้างก็มาจับปลา ฟินกับบรรยากาศสุด ๆ
ห้านาทีผ่านไป หลังจากผ่านป้อมประภาคาร ปีศาจน้อยเริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่นิ่งของสายน้ำ เรือเราเพิ่มสปีดพุ่งชนทุกคลื่นน้ำ ซัดกันได้ใจมาก เห็นฟองซัดออกจากขอบเรือกระจาย ผู้ใหญ่หลายท่านเริ่มถอยทัพกลับเข้ามาในตัวเรือหาที่นั่ง ในขณะที่ปีศาจน้อยฉงนสงสัยมากว่าข้างนอกเป็นยังไง ตัดสินใจมุ่งหน้าไปข้างนอกห้องพัก โอ๊ะโอ ก้าวไปยังไม่ทันพ้นขอบห้อง เข้าใจเลยอ่ะว่าคนเมาทําไมเดินไม่ตรง บริเวณหัวเรือมันคือเครื่องเล่นผาดโผนดี ๆ นี่เอง ไอ้ที่เรือมันเดินเนิบ ๆ เมื่อกี้เพราะว่ามันยังไม่ได้ออกมาโซนทะเลกว้าง ๆ ไม่มีคลื่นซัด ตอนนี้เราก็ได้เจอคลื่นเต็ม ๆ เลย แม้แต่เด็ก ๆ ก็แหวะกันไปหลายราย สําหรับคนที่รู้สึกแย่ เขาแนะนําให้อยู่บริเวณชั้นล่างท้ายเรือเพราะเป็นจุดที่เรือโคลงเคลงน้อยที่สุด และหากใครต้องแหวะเขาก็มีถุงและทิชชู่เตรียมไว้ให้เรียบร้อย
คุณลุงผู้คุมเรือพาเราออกทะเลไปไกลกว่า 60 ไมล์ ระหว่างทางลุงก็จะคอยบอกทิศทางในการมองวาฬให้เรา ตอนเห็นตัวแรกมันอยู่ไกลพอสมควร เห็นตอนมันเอาหลังขึ้นมาแล้วก็พ่นน้ำฟู่ ๆ เราเห็นกลุ่มแรกอยู่สี่ตัว ลุงบอกว่ามันกำลังจีบกันอยู่ มีอยู่หลายตัว หลายกลุ่ม ต้องคอยหันซ้ายขวาอยู่ตลอดเพราะไม่รู้ว่าตรงไหนจะโผล่ขึ้นมาก่อน คุณลุงก็พยายามที่จะพาให้เราเข้าไปใกล้เห็นวาฬชัด ๆ เราตามมันอยู่นานเห็นใกล้บ้าง ไกลบ้างจนสุดท้ายก็ได้เวลากลับเข้าฝั่ง
ช่วงที่กําลังกลับนี่แหละ จู่ ๆ สองแม่ลูกก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ เจ้าลูกเอาหัวโผล่มาก่อน ฮือฮากันทั้งลําเรือ เพราะว่าเห็นวาฬใกล้มาก ตามมาด้วยตัวแม่ผลุบ โผล่จากน้ํา ป้าบบบ! เอาพุงลงน้ำดังมาก เป็นภาพคลาสสิคเลยอ่ะ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ กันไปมาสองตัวใกล้ ๆ เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก ดูเหมือนว่าแม่วาฬกำลังเล่นกับลูกอยู่ กินเวลาไปประมาณ 15 นาที ดูกันตาแฉะไปเลย ไฮไลท์มันอยู่ตอนกลับนี่เอง ตากล้องแอบกระซิบ สงสัยมันเป็นปลาวัยรุ่นออกมาเล่นน้ำตอนเย็น ๆ อุ๊ต๊ะ! กลับมาฝั่งช้าไปหน่อย เพราะคุณลุงใจดีปล่อยให้เราดูเจ้าสองแม่ลูกตัวสุดท้ายอยู่พอสมควร
ประมาณห้าโมงเย็นละ ยังไม่ถึงเวลาอาหาร เราก็เลยพากันขับรถไปจุดชมวิวใกล้ ๆ กับประภาคารที่เรือเราผ่านเมื่อกี้นี้ตากล้องผู้ชํานาญทางแนะนําว่าแถวนี้สุดจะโรแมนติก ดูพระอาทิตย์ตกกับคนรู้ใจ แต่พระอาทิตย์ตกเร็วมากนะ ไปถึงก่อนที่มันกําลังจะตกสักครึ่งชั่วโมงน่าจะดี
เหนื่อยมาทั้งวันละ มื้อเย็นเราไปทานอาหารอิตาเลี่ยนขึ้นชื่อของที่นี่ Augello’s Ristorante & Pizzeria (ใครตั้งใจไปกิน แนะนําให้จองก่อน เพราะร้านนี้เขาแน่นจริง ๆ) ร้านอยู่ใน Mooloolaba esplanade เป็นโซนร้านค้า ร้านอาหารริมทะเล ไฟสลัว ๆ เหมาะแก่การกระหนุงกระหนิงยามเย็น อิ่มกันแล้วก็ถึงเวลามุ่งหน้ากลับบ้าน ขากลับเร็วมาก ไม่ทันชั่วโมงก็ถึงละ หรือคนขับหลับในเหยียบเกินเปล่าก็ไม่แน่ใจ
เป็นไงกันบ้างคะกับทริปนี้ ประสบการณ์กับสัตว์ทะเลใหม่ ๆ หนึ่งวันเต็ม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริสเบน เพื่อน ๆ คนไหนยังไม่เคยเห็นเจ้าวาฬ รีบ ๆ กันหน่อยนะ เพราะจะมีโอกาสได้เห็นมันถึงแค่เดือนพฤศจิกายนเท่านั้น