ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงและวุ่นวายในปีที่ผ่านมา บวกกับข้อจำกัดในการเดินทางไปพบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างประเทศ คาดว่าน่าจะทำให้หลาย ๆ คนเกิดความสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่อาศัยอยู่ในแต่ละที่ทั่วโลกไม่มากก็น้อย ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละเมืองบนโลกนั้น ย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน โดยประเทศที่คนให้ความสนใจยอดฮิตติดอันดับต้น ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา รวมไปถึง ออสเตรเลีย แดนจิงโจ้เอง ก็เป็นหนึ่งจุดหมายที่ถูกพูดถึงบ่อยเหมือนกัน จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยย้ายมาอยู่ #ทีมบริสเบน และได้ออกไปท่องเที่ยวเมืองต่าง ๆ ในออสเตรเลีย เราเลยอยากมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ดี ๆ เผื่อใครหลายคนอยากจะมาลองใช้ชีวิตในประเทศออสเตรเลียดูบ้าง
1. ที่นี่คือแหล่งรวมความหลากหลาย ทั้งด้านเชื้อชาติและวิถีชีวิต
ที่มาภาพ : pexels.com/@cottonbro
หากพูดถึงประชากรในประเทศออสเตรเลียโดยเฉพาะเมืองใหญ่ อย่างซิดนีย์ หรือเมลเบิร์น เราสามารถพบเจอผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เดินสวนไปมาตั้งแต่เท้าแตะที่สนามบิน และเมื่อเข้าไปในเมือง มองไปยังร้านอาหารสองข้างทาง ก็สามารถเจอเมนูอาหารแทบทุกสัญชาติ โดยเฉพาะอาหารเอเชีย ทั้งไทย จีน อินโดฯ ญี่ปุ่น ฯลฯ อีกทั้งราคาไม่แพงจนเกินไป หรือกระทั่ง Asian Grocery Store ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายวัตถุดิบเอเชียโดยเฉพาะ หรือหากเราอยู่ในเมืองที่มีชาวเอเชียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ก็จะมี China Town แอเรียที่เราสามารถเข้าไปแวะเวียน กินข้าว ช้อปปิ้ง หรือจะเดินเล่นในบรรยากาศคล้ายบ้านเกิด นอกจากนี้ รู้หรือไม่ว่าในบริสเบนเองก็มีร้านอาหารหลายสัญชาติเหมือนกัน สามารถเข้าไปอ่านได้ทั้งพาร์ทแรก และพาร์ทสอง เลย เข้าไปลองทานรสชาติอาหารอันแปลกใหม่แบบนี้ได้ ในวันพิเศษ
และด้วยออสเตรเลียเอง เป็นประเทศที่ค่อนข้างเปิดรับนักเดินทางจากทั่วโลก (ครั้งก่อนวิกฤต Covid-19) เพื่อมาท่องเที่ยว, เรียนต่อ หรือมาทำงาน เป็นอีกหนึ่งผลพลอยได้ ที่จะสามารถทำความรู้จักกับผู้คนหลากทวีปทั่วโลก ทั้ง ชาวจีน, ชาวญี่ปุ่น, ชาวอินเดีย รวมไปถึงเพื่อนฝั่งลาตินอเมริกันอย่าง เพื่อนชาวเม็กซิกัน, บราซิล หรือจะโคลัมเบียเอง ก็เลือกที่จะเดินทางมาที่ออสเตรเลียเช่นกัน แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด ทำให้นโยบายการต้อนรับนักเดินทางยังคงต้องระงับไว้ก่อน แต่หากใครที่มีแพลนสนใจศึกษาต่อล่ะก็ สามารถเริ่มค้นหาข้อมูล และสมัครได้แล้วนะ ส่วนใครที่อยากเดินทางเพื่อมาท่องเที่ยวล่ะก็ คงต้องอดใจรออีกสักพักนึง เตรียมต่ออายุพาสปอร์ตให้พร้อม ประเทศเปิดเมื่อไหร่ จ่อคิวทำวีซ่าท่องเที่ยวกันได้เลย
2. พื้นที่ที่ใครก็สามารถแสวงหาโอกาสใหม่ได้
ที่มาภาพ : cdn.newsapi.com.au
นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ออสเตรเลียเป็นจุดหมายที่ดึงดูดผู้คนจากหลากประเทศเข้ามาใช้ชีวิตกันแบบระยะยาว จุดเริ่มต้นหลักเกิดจากการวางนโยบายภาครัฐที่ร่วมมือกับภาคเอกชน ที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาแสวงหาโอกาสที่นี่ เริ่มต้นจากโอกาสทางศึกษา ตั้งแต่โรงเรียนสอนภาษา ที่มีคุณภาพแถมค่าใช้จ่ายจับต้องได้ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกก็มีอยู่ที่นี่ บางแห่งมอบทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาต่างชาติอีกด้วย ซึ่งข้อดีที่เราชอบเลยคือการที่นักเรียนสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยการศึกษาและการทำงานนี้เอง เป็นบันไดที่นำไปสู่เป้าหมายที่หลายคนใฝ่ฝัน อันได้แก่ วีซ่าทำงาน, PR (Permanent Resident) จนไปถึง Citizenship ที่คนไทยตาดำ ๆ อย่างเรา ก็สามารถ Apply ได้ หากเงื่อนไขตรงที่ภาครัฐต้องการ อาทิเช่น ทำงานในสายอาชีพที่ประเทศต้องการในขณะนั้น หรือถ้าใครไม่อยากเริ่มต้นเสียเงินลงเรียนล่ะก็ อีกวีซ่านึงที่อยากจะแนะนำ และหลายคนคงคุ้นหูกับ Work and Holiday Visa โครงการที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยอายุ 18-30 ปี สามารถทำงานและท่องเที่ยวในประเทศออสเตรเลียได้อย่างถูกต้อง 1 ปี เต็ม ซึ่งดีมากสำหรับใครที่อยากลองออกไปค้นหาประสบการณ์การทำงานต่างประเทศ สามารถสมัครและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน
3. ภูมิอากาศหลากหลายในแต่ละเมือง เลือกอยู่ได้ตามต้องการ
ด้วยพื้นที่ประเทศที่มีขนาดใหญ่มหึมา ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 15 เท่าตัว ซึ่งแต่ละเมืองที่ผู้คนอาศัยเป็นจำนวนมาก มักเลือกที่จะตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่ง เพราะอากาศค่อนข้างปลอดโปร่ง อุดมสมบูรณ์ โดยไล่ยาวตั้งแต่ทางตอนเหนือลงมาทางตอนใต้ซีกฝั่งตะวันออก ด้วยระดับเส้นศูนย์สูตรที่แตกต่าง ทำให้แต่ละเมือง มีลักษณะภูมิอากาศแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างที่เมลเบิร์น เป็นเมืองที่มีอากาศค่อนข้างแปรปรวน บางวันมีครบทุกฤดู ตอนเช้าอากาศเย็น ตอนบ่ายแดดร้อน ตอนเย็นอยู่ดี ๆ ฝนตกก็มี นี่จึงทำให้เป็นหนึ่งเหตุผลที่เราตัดสินใจมาอยู่เป็น #ทีมบริสเบน เพราะอย่างแรกเลย ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่เยอะ (ฮา) แม้หน้าร้อน ตอนกลางวันจะร้อนสุดใจ แต่เมื่อฟ้ามืดอากาศก็เริ่มเย็น นอนเปิดพัดลมได้อย่างสบายใจ และยิ่งช่วงนี้เข้าหน้าหนาวอย่างเป็นทางการ ใส่แค่แจ็กเก็ตตัวเดียว ก็สามารถใช้ชีวิตข้างนอกได้ทั้งวัน หรือใครที่ไม่ชอบอากาศหนาวเลยล่ะก็ ลองขึ้นไปด้านบนของประเทศอย่าง Crains หรือจะเมือง Darwin เอง ก็น่าสนใจไม่แพ้กันนะ
4. หาของกินอร่อย ๆ แบบไม่สะเทือนกระเป๋าจนเกินไป (โดยเฉพาะกาแฟ)
ที่มาภาพ : pexels.com/@vince
แม้ว่าค่าเงินไทยทุกวันนี้แสนแข็งตัว แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะสามารถควบคุมใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ถูกลงกว่าเดิม อีกทั้งรายได้ต่อวันที่ภาครัฐกำหนดนั้น เพิ่มขึ้นอยู่ทุกปีตามสภาพเศรษฐกิจ เพื่อซัพพอร์ตแรงงานภายในประเทศ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศง่ายและหลากหลายยิ่งขึ้น ส่งผลต่อราคาต้นทุนที่ลดลง ด้วยผลประโยชน์ที่กล่าวมา ทำให้ผู้อยู่อาศัยอย่างเราสามารถใช้ชีวิตในประเทศออสเตรเลียได้สบายใจ สบายเงินในกระเป๋า อยากจะทานอาหารทั่วไป มีราคาตั้งแต่ $10 เป็นต้นไป แล้วแต่คุณภาพและปริมาณ หรือถ้าอยากจะประหยัดยิ่งขึ้น การทำอาหารเองคือคำตอบ เพราะเราสามารถควบคุมวัตถุดิบได้ อีกทั้งสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ตเอง อย่างขนมปัง ชีส นม ไข่ มักจะราคาจะถูกเป็นพิเศษ อีกสิ่งหนึ่งที่เราโปรดมากที่สุดในประเทศออสเตรเลีย คือการดื่มกาแฟรสชาติดี ในราคาที่ไม่แพง สามารถหาได้ง่าย เดินไปที่ไหนก็เจอร้านกาแฟตั้งอยู่ริมถนน ที่นี่คือสวรรค์ของคอกาแฟเลยก็ว่าได้ ว่าแล้วเดินไปซื้อกาแฟสักแก้วมาดื่มดีกว่า
5. ธรรมชาติและความบันเทิงที่อยู่ใกล้ตัว อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ทุกวัน
หลายคนคงเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ชาวออสซี่รักการสังสรรค์และธรรมชาติ” เพราะนี่คือคำจำกัดความไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่นี่ก็ว่าได้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ชาวออสซี่มักออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านกับเพื่อนฝูง ตั้งแต่การไป ทาน Brunch ที่คาเฟ่, หิ้วของกินไปทำ Barbie กันในสวน จนไปถึง Camping บนเกาะอย่างจริงจังก็มี ส่วนเรื่องการเดินทางไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าง่าย ปลอดภัย บางที่สามารถนั่งรถไฟไปได้อย่างสะดวกสบาย อย่างเช่นที่ Gold Coast เมืองติดทะเลยอดนิยมของสาย Surfing สามารถนั่งรถไฟจากตัวเมืองไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจะที่ Blue Mountain พื้นที่ภูเขาสลับซับซ้อน ที่มี The Three Sister จุดชมวิวอันโด่งดัง ที่เราสามารถไปได้แบบ 1 day trip เลยด้วยซ้ำ หรือถ้าหากขี้เกียจออกไปไกล ในตัวเมืองเองก็มีจุดพักผ่อนหย่อนใจใกล้ชิดธรรมชาติ กับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถ้าที่บริสเบนเองคงหนีไม่พ้น Brisbane City Botanic Gardens หรือถ้าที่เมลเบิร์นเองก็มีทั้ง Alexandra Gardens, Flagstaff Gardens โดยเฉพาะที่เราชอบที่สุด คงเป็น Carlton Gardens สวนสาธารณะที่มี Royal Exhibition Building อาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปที่สวยสง่า ท่ามกลางต้นไม้รายล้อม และสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ได้ฟิลลิ่งไปอีกแบบ
6. เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก และการเดินทางที่เข้าถึงได้ทุกที่
ทุกครั้งที่ต้องออกเดินทางไปยังพื้นที่ต่างบ้านต่างเมือง นักเดินทางแปลกหน้าอย่างเรามักจะกังวลกับสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่ไม่คุ้นเคยอยู่รายล้อม แต่เมื่อได้มาอยู่ที่ออสเตรเลียและบริสเบนเอง ความกังวลก็หมดไป เพราะผู้คนพร้อมที่จะยิ้มทักทายกันเมื่อเดินสวน มาแรก ๆ อาจจะงงหน่อย นึกว่าเค้ารู้จักเราหรือเปล่า แต่พอได้มาสัมผัสผู้คนที่นี่จริง ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความเป็นมิตร จริงใจ พร้อมที่จะช่วยเหลือ อย่างเช่นเวลาเรายกกระเป๋าเดินทางลงมาจากรถเมล์ ก็มีชายหนุ่ม (ที่ไม่รู้มาจากไหน) วิ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล เป็นความประทับใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอได้ พร้อมเอ่ยคำว่า “Welcome to Australia” ก่อนลาจาก
หรือหากวันไหนต้องการเดินทางนอกตัวเมือง เราจะพบกับระบบคมนาคมที่แสนสะดวกสบาย บางพื้นที่ฟรีอีกต่างหาก ตั้งแต่รถเมล์ หรือระบบทางรถไฟที่เข้าถึงทั่วทุกที่ ในบริสเบนเองคงคุ้นชินระบบ TransLink ที่เข้าถึงทุกที่ หรือจะเป็นระบบ Metro ในเมลเบิร์นที่ใช้บัตร Myki ในการสัญจรไปมานอกเขต Free Tram Zone หรือหากต้องเดินทางไปในตรอกซอกซอย ที่ระบบรถใหญ่เข้าไปถึง ก็ยังมีระบบเช่าจักรยาน CityCycle ที่มีจุดจอดรอบตัวเมือง ราคาก็ถูกแสนถูก ปลอดภัย สะดวกสบายมาก
7. ประเทศที่มีเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก มากกว่าหนึ่งเมือง (อัพเดทปี 2021)
ที่มาภาพ : pexels.com/@catarina-sousa-9147
หลายคนคงเคยคุ้นหูคุ้นตา กับสำนักวิจัย The Economist Intelligence Unit หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า EIU ที่ในแต่ละปีจะจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก (The Global Liveability Raking) โดยวิเคราะห์จากปัจจัยดังต่อไปนี้ ความมั่นคงในการดำรงชีพ (Stability), ระบบสาธารณสุข (Healthcare), วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (Culture & Environment), ระบบการศึกษา (Education) จนไปถึงระบบสาธารณูปโภคภายในพื้นที่ (Infrastructure) โดยปีนี้เองมีเมืองที่ถูกเข้ารอบมากถึง 140 เมือง และแทบทุกปีเมืองเมลเบิร์น มักถูกจัดอันดับอยู่ใน Top 10 ซึ่งและในหลายปีก่อนหน้า อยู่อันดับ 1 เลยทีเดียว และที่น่าดีใจไปอีก คือปี 2021 เป็นครั้งแรกที่เมืองบริสเบน ถูกจัดอยู่ใน Top 10 เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 10 เป็นรองจากพี่เมลเบิร์นไปแค่อันดับเดียว ส่วนเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ใน Top 10 ปีนี้ก็ได้แก่ Adelaide (อันดับ 3) และ Perth (อันดับ 6) สามารถอ่านรายละเอียดต่อได้ที่นี่
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ #ทีมบริสเบน #ทีมซิดนีย์ หรือ #ทีมประเทศอื่น ก็ตาม
อย่างน้อยการที่เราได้ออกจากพื้นที่ Comfort Zone จากบ้านเกิดเมืองนอนของเรามายังอีกประเทศนึง ก็ถือว่าชีวิตได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ที่อาจจะทำให้ค้นพบตัวเองในด้านที่เราอาจจะไม่เคยรู้ ซึ่งขอบอกเลยว่าคุ้มค่าที่ได้มาใช้ชีวิตเลยแหละ