วันจันทร์, 25 พฤศจิกายน 2567

Booking.com

เปิดหมดใจกับ อรศรี ฮอนโนลด์ (บาเล็นซิเอก้า)

เผยแพร่เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2557 โดย Miss Brisbane
ครอบครัว Balenciaga ครอบครัว Balenciaga
ในแวดวงดาราแถวหน้าของเมืองไทยในปัจจุบันนี้ถ้าเอ่ยชื่อของ “มาร์กี้ ราศรี บาเลนซิเอก้า” คงจะมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเธอ ในวันนี้ทางทีมงาน MaBrisbane ของเราได้รับเกียรติจากผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของน้องมาร์กี้อย่างแท้จริงนั่นคือ คุณแม่คนสวยของมาร์กี้ นั่นคือคุณ อรศรี ฮอนโนลด์ (บาเลนซิเอก้า) หรือที่คนในวงการเรียกว่า “พี่เหน่ง” หรือ “คุณแม่เหน่ง” ได้ให้โอกาสทีมงานของเราสัมภาษณ์ชนิดที่เรียกได้ว่าเปิดหมดใจในด้านความรัก โดยเฉพาะการเปิดตัวสามีคนปัจจุบันนั้นคือ “คุณไมเคิล ฮอนโนลด์” ค่ะ 

คุณอรศรี นามสกุลเดิม คือ พูลขวัญ เป็นสาวนครปฐม และเริ่มต้นเข้าสู่วงการครั้งแรกโดยการเป็นนางแบบผมด้วยการชักชวนของ “คุณสมศักดิ์ ชลาชล” ช่างทำผมเซเลปชื่อดังของเมืองไทยในปัจจุบัน เรียกได้ว่าในยุคปลายปี 80 ถึงปี 90 ชื่อของอรศรี พูลขวัญนั้นเป็นที่รู้จักกันในแวดวงนางแบบเป็นอย่างมาก สำหรับตำแหน่งที่เธอเคยได้มาครอบครองนั้นเรียกได้ว่า ไม่แพ้คุณลูกมาร์กี้ และน้องมารีน่าเลยทีเดียว เรามาทำความรู้จักพี่เหน่งกันเลยดีกว่านะคะ 

สวัสดีค่ะพี่เหน่ง ก่อนอื่นขอทราบประวัติคร่าวๆ เลยนะคะว่าพี่เคยได้รับตำแหน่งอะไรมาบ้างคะ?

ครั้งแรกที่พี่ประกวดและได้รับตำแหน่งคือ มิสยูนิเวอร์ซิตี้ ปี 1987 และนั่นก็คือการได้มีโอกาสไปเมืองนอกครั้งแรกในชีวิตของพี่ เพราะพี่ต้องเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดที่ประเทศญี่ปุ่น และการไปเมืองนอกครั้งนี้ทำให้พี่ได้ประสบการณ์เยอะมาก เพราะได้เห็นว่าบ้านเมืองของเค้าดูเป็นระเบียบและสะอาด ที่สำคัญคือเป็นแรงผลักดันให้พี่อยากเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นค่ะ  

  • Thailand Top Model พี่ได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพและรองอันดับ 1 ซึ่งในปีนั้นคนที่ได้ตำแหน่งในฝ่ายผู้ชายคือ คุณเจค ศตวรรษ ดุลยวิจิตร 
  • 10 ยอดนางแบบไทย โดยปีนั้นมีคุณ แมว ชลิตาได้ที่หนึ่ง 
  • ส่วนตำแหน่งล่าสุดที่ได้รับคือ Mrs. Thailand World ในปี 2009 ค่ะ 

  • ย้อนมาตอนช่วงเข้าวงการนิดหนึ่งนะคะว่าคุณสมศักดิ์มาเจอพี่ได้อย่างไร?


    คือตอนนั้นพี่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งพี่จะมีลักษณะโดดเด่นที่ทุกคนจำได้คือ พี่จะใส่เสื้อลายสก๊อตซ์กางเกงยีนส์และในมือจะมีถุงโอเลี้ยงเป็นประจำ พี่คงเป็นคนมีบุคลิกแปลกๆ มั้งคะ (หัวเราะ) พอดีพี่สมศักดิ์ ชลาชลมาเห็นก็เลยติดต่อให้พี่ไปเป็นแบบผมให้ ซึ่งเป้าหมายในการเป็นนางแบบของพี่ก็คือ อยากได้สตางค์มาเป็นทุนสนับสนุนตัวเองในเรื่อง “การเรียนหนังสือ” และ “ค่าหอพัก” เพราะตอนนั้นพี่อยู่หอน่ะค่ะ หลังจากที่พี่ได้เข้าไปสัมผัสชีวิตในวงการนางแบบผม พี่ก็ได้มีโอกาสพบปะนางแบบและดารามากมายซึ่งตอนนั้นพี่ได้ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายต้อนรับให้กับพี่สมศักดิ์ที่ร้านด้วย พอพี่ได้เห็นคนสวยๆ ทุกวันมันก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้พี่อยากเป็นนางแบบกับเค้าบ้าง จนอยู่มาวันหนึ่งพี่เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัยเข้ามาที่ร้านซึ่งปกติแล้วพี่เจี๊ยบก็เข้ามาเป็นประจำอยู่แล้ว พี่เลยตัดสินใจพูดกับพี่เจี๊ยบเลยว่า “พี่เจี๊ยบคะ เหน่งอยากเป็นนางแบบบ้างจังเลย เหน่งควรทำยังไงบ้างคะ” ซึ่งพี่เจี๊ยบก็น่ารักมากที่แนะนำให้พี่ไปเรียนเดินแบบกับพี่กู๊ดดี้ ซึ่งตอนนั้นพี่กู๊ดดี้เป็นผู้จัดงานอีเวนท์หลายๆ งาน พี่กู๊ดดี้ก็เลยให้เทปนางแบบพี่มาดูก่อนเพื่อว่า นางแบบเค้าเดินกันอย่างไร นั่นล่ะค่ะเป็นอะไรที่จุดประกายพี่ให้เข้าสู่วิถีชีวิตนางแบบ แต่เรื่องตลกก็มีนะคะคือ หน้าตาของพี่เหน่งไม่ใช่สไตล์ “คนสวย” ของสมัยนั้น เพราะสมัยก่อนต้องเป็นลูกครึ่งสวยๆ ไปเลย เช่น คุณแมว ชลิตา หรือไม่ก็หน้าสวยแบบหวานๆ หรือเฉี่ยวๆ แต่พี่เป็นแบบแปลกๆ (หัวเราะ) เพราะตอนที่พี่อยู่หอขนาดพี่บอกคนที่หอว่า “เออ เหน่งจะได้เป็นนางแบบแล้วนะ” พวกเค้ายังไม่เชื่อเลย (หัวเราะ) และในที่สุดพี่ก็ได้เป็นนางแบบและเดินแบบรุ่นเดียวกันกับ คุณแมว ชลิตา คุณอุ๋ม อาภาศิริ  คุณเจน นพวรรณ และคุณปู กมลชนก ปานใจ เป็นต้นค่ะ 

    แล้วพวกเพื่อนๆ ที่หอพี่ไม่อึ้งไปเลยเหรอคะ? 

    เค้าก็คงอึ้งแบบงงๆ น่ะนะ (หัวเราะ) คงประมาณว่า “เป็นไปได้ไงวะ” อะไรอย่างเนี้ย  

    ในช่วงที่พี่มีชื่อเสียงโด่งดังพี่ก็ได้พบรักกับคุณพ่อของน้องมาร์กี้และน้องมารีน่า คือคุณแดเนียล บาเลนซิเอก้า (ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง) แล้วพี่เหน่งก็เริ่มหันหลังให้กับวงการนางแบบ อยากทราบว่าช่วงนั้นพี่ทำอะไรบ้างคะ?   

    ตอนนั้นพี่เป็นนางแบบรุ่นแรกๆ เลยที่ออกจากวงการในขณะที่ยังมีงานอยู่เพราะพี่ต้องช่วยสามีคือคุณเดเนียล ดูแลร้านเสื้อผ้าซึ่งมีสองสาขาคือที่ หลังสวน และเซ็นทรัล ซึ่งช่วงนั้นขาดคนดูแล เพราะคุณเดเนียลต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย อีกอย่างที่สำคัญคือพี่เริ่มท้องน้องมาร์กี้แล้วด้วย ก็เลยตัดสินใจหันหลังให้กับวงการนางแบบไปก่อนค่ะ 

    อยากทราบว่าในปัจจุบันนี้พี่เหน่งทำธุรกิจอะไรบ้างคะ? 

    คือพี่น่ะอยู่ในช่วง Semi Retire ก็คือยังคงรับจัดงานอีเวนท์หรืองานการกุศลอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่พี่พยายามจะให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า เพราะตอนนี้อายุพี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วพี่คิดว่าการใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักนั้นดีที่สุด แต่ก็ยังคงช่วยดูงานให้ลูกๆ เพราะพี่ต้องเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ลูกสาวทั้งสองคนคือ มาร์กี้ และมารีน่า (มารีน่าเพิ่งจะเข้าวงการการแสดงค่ะ) คือมารีน่า ไปประกวดนางแบบเอเซียที่ประเทศจีนเมื่อปี 2013 ซึ่งน้องได้ตำแหน่งรองอันดับสามกับตำแหน่ง “ขวัญใจช่างภาพ”  และตอนนี้ก็ได้เป็นนักแสดงในเรื่อง “มาดามดัน” ของช่อง 3 ซึ่งเรื่องนี้มารีน่าเล่นคู่กับ “อินดี้” อินทัช เหลียวรักวงศ์ ลูกชายของคุณฮันนี่ ภัสสร กับคุณบี๋ ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ค่ะ 

    พี่เหน่งก็รับงานละครเหมือนกันใช่ไหมคะ เห็นเล่นอยู่หลายเรื่องด้วย ตอนนี้พี่รับละครไว้บ้างหรือเปล่าคะ? 

    ก็ส่วนใหญ่จะมีเล่นในบทรับเชิญนะคะ พี่ก็รับเชิญไปเรื่อยๆ เพราะเป็นงานที่เราทำแล้วเราสนุก ได้คุยเรื่องเดียวกันกับลูกๆ ชีวิตจะได้อัพเดทกับลูกๆ ตลอดเวลาและมีเรื่องให้คุยกันตลอด เพราะเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน รู้จักคนคนเดียวกัน พี่รับเชิญหลายเรื่องมากและบ่อยมากที่สำคัญคือ ในบทต้องตายบ่อยมาก(หัวเราะ) จนมาร์กี้แอบเอาไปเม้าส์ เมื่อมีคนถามว่า “คุณแม่หนูทำอะไร” มาร์กี้ตอบว่า “คุณแม่หนูรับจ้างตายค่ะ(ในละคร)” 

    balenciaga

    ทราบมาว่าพี่รับงานการกุศลด้วยเห็นว่าไปถ่ายปฎิทินครอบครัวสามแม่ลูกขององค์กรอะไรคะ? 

    เป็นการถ่ายปฎิทินของ “มูลนิธิคาทอลิก” ซึ่งเป็นมูลนิธิที่จะช่วยเหลือดูแลเด็กพิการของมูลนิธิน่ะค่ะ ก็จะเป็นปฎิทินที่ถ่ายกันแบบครอบครัวสามแม่ลูก ซึ่งถ้าใครสนใจก็สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่มูลนิธิเลยค่ะ ราคาหนึ่งร้อยบาทต่อปฎิทินค่ะ สำหรับเว็ปไซด์ที่จะติดต่อได้ก็คือ www.camillianhomelatkrabang.org หรือ ติดต่อได้โดยตรงที่ 662-3607852-3 และสำหรับผู้ที่อยู่ที่ออสเตรเลียก็สามารถติดต่อได้โดยตรงกับ MaBrisbane ได้โดยตรงนะคะ 


    กลับมาถึงเรื่องความรัก ณ ปัจจุบัน ไม่ทราบว่าพี่เหน่งกับคุณไมค์ (คุณไมเคิล ฮอนโนลด์) เจอกันได้อย่างไรคะ และปิ๊งกันตั้งแต่แรกพบเลยหรือเปล่า? 

    จริงๆ แล้วพี่น่ะเป็นแม่สื่อให้เพื่อนคนหนึ่งนะ แต่พอดีว่าวันนั้นน้องคนที่พี่นัดให้ไปเจอกับคุณไมค์เค้าติดประชุมน้องเค้าเลยให้พี่ไปพบเพื่อไปพูดคุยพลางๆก่อน เพราะเวลาเรานัดคนต่างชาติเนี่ย การรักษาเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่เป็นคนนัดเอง คือรู้จักผ่านเพื่อนพี่ที่เป็นครูสอนภาษาไทยน่ะค่ะ พี่ก็เลย “เอาวะ ไปก็ไป” พอไปเจอปุ๊ป คุณไมค์ก็มาบอกทีหลังว่า “ชอบคุณเหน่งถ้าเพื่อนคุณเหน่งไม่ปรากฎตัวก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ)” แต่ตัวพี่ก็ไม่รู้อะไรหรอกนะคะก็คุยๆ กับคุณไมค์ไปเรื่อยและก็รอจนน้องคนนั้นเค้ามา แต่คุณไมค์ก็ไปบอกกับเพื่อนพี่ที่เป็นครูสอนภาษาไทยว่า “ชอบคุณเหน่ง” ก็เลยกลายเป็น “งานนี้แม่สื่อเอาเอง(หัวเราะ)” 

    ใช้เวลานานแค่ไหนในการศึกษาดูใจกันก่อนแต่งงานคะ?  

    ประมาณสามปีค่ะ 

    photo001และอะไรที่ทำให้พี่ตัดสินใจแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง? 

    คือคุณไมค์เนี่ยเป็นผู้ชายอย่างที่พี่คิดไว้และก็ตรงตามที่ใช่ ก็เลยตัดสินใจแต่งงาน คุณไมค์เป็นคนใจเย็น สุภาพ ยอมรับฟังในสิ่งที่พี่ต้องการได้ ที่สำคัญเลยคือให้เกียรติพี่และครอบครัวพี่มาก ซึ่งพี่ก็ยอมรับฟังในตัวคุณไมค์ด้วยเช่นกัน คติของพี่ก็คือ “อยู่ด้วยแล้วต้องมีความสุขถ้าอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเองจะไม่คบเลย” อีกอย่างที่พี่อยากจะบอกสำหรับคนที่รักกันและกำลังตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก็คือ ให้ซื่อสัตย์ในความรู้สึกตัวเองมากๆ แสดงออกในความเป็นตัวเองทั้งคู่ห้ามเสแสร้ง ถ้าไม่ชอบอะไรก็บอกกัน คุยกันปรึกษากันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย รายได้สำหรับการอยู่ร่วมกัน พยายามคุยกันให้มากที่สุดเพื่อความต้องการจะได้ตรงกัน และจะทำให้การใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันง่ายขึ้น อีกอย่างที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันแล้วเราก็ต้องปรึกษากันตลอด อย่าคิดเองเออเองซึ่งบางทีความคิดของเรากับเค้ามันอาจจะสวนทางกันและทำให้เกิดการเข้าใจผิด 

    ทราบมาว่าคุณไมค์พูดภาษาไทยได้คล่องมาก อยากทราบว่าคุณไมค์ทำงานเกี่ยวกับองค์กรอะไรคะ? 

    คุณไมค์เป็น “ผู้ช่วยทูตฝ่ายวัฒนธรรมของสถานทูตอเมริกา” ตอนนี้คุณไมค์ประจำอยู่ที่ประเทศไทยค่ะ 

    พี่เหน่งมีวิธีอย่างไร หรือพูดคุยกับลูกอย่างไรให้เข้าใจในความรักครั้งนี้ของพี่? 

    พี่กับลูกเนี่ยจะเป็นเพื่อนกันนะ คือเราสามารถคุยและปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ซึ่งพี่ก็มีการคุยกับลูกทั้งสองตั้งแต่แรกๆ นะว่า ตอนนี้มาม๊ามีคนมาชอบนะ ซึ่งลูกๆ ก็จะรับฟัง แต่พี่ก็ยังไม่รีบร้อนให้ลูกต้องรู้จักคุณไมค์นะคะ จนกว่าพี่จะแน่ใจในตัวของคุณไมค์แล้วพี่ถึงกล้าพาเค้าไปทำความรู้จักกับลูกๆ ของพี่ เห็นไหมคล้ายๆ กับว่าตอนเราเป็นเด็กเราต้องพาคนรักของเรามาให้ “พ่อแม่”เรารู้จัก แต่พอตอนนี้เราโตเป็นแม่คนแล้วกลับกลายเป็นว่าเราต้องพาคู่รักของเรามาพบ “ท่านลูก” แทนตลกดี (หัวเราะ) คือลูกๆ จะรับทราบเรื่องของแม่มาโดยตลอด และในขณะเดียวกันลูกๆก็จะรับฟังและช่วยออกความเห็นด้วยบ้างเหมือนกัน  

    อะไรที่ทำให้ลูกทั้งสองยอมรับคุณพ่อคนใหม่? 

    คงจะเป็นเรื่องที่คุณไมค์เป็นคนดี อบอุ่น สุภาพและรักแม่เค้า ซึ่งลูกๆ ถือว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ลูกๆ ชอบพูดติดตลกว่า “วัยของมาม๊าถูกหลอกรับประทานง่ายเค้าต้องดูแล” (หัวเราะ) และคุณไมค์ก็ไม่เคยบังคับให้ลูกๆ ของพี่ต้องเรียกเค้าว่า “พ่อ” เลย เพราะคุณไมค์บอกว่า ทั้งมาร์กี้และมารีน่ามีพ่อคนเดียวคือคุณเดเนียล ซึ่งคุณไมค์ไม่สามารถที่จะเป็นพ่อแทนได้ แค่ได้อยู่ด้วยกันและรักกันในฐานะครอบครัวแค่นี้ก็ดีแล้ว (ลูกๆ ของพี่เหน่งเรียกคุณไมค์ว่า “น้าไมค์”) ซึ่งมารีน่าถึงขนาดเคยพูดกับพี่ว่า “ถ้าวันนึงมาม๊าเลิกกับน้าไมค์ หนูก็คงอยู่กับน้าไมค์น่ะค่ะ” อีกอย่างที่พี่โชคดีก็คือ ตอนพี่คบกับคุณไมค์เนี่ยลูกๆ ก็เริ่มโตและมีความคิดเองได้แล้วก็เลยง่ายขึ้นมั้งคะ เพราะลูกๆ พี่เค้าจะสามารถสัมผัสได้เอง 

    พี่ว่า พี่เป็นคนโชคดีด้านความรักไหมคะ? 

    น่าจะโชคดีนะคะ เพราะพี่เติบโตมาในครอบครัวที่พี่น้องรักกันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนๆ หรือหลายๆ คนที่พี่คบอยู่พวกเราก็จะยังรักกันอยู่ แล้วมาเจอคู่รักที่ดีในตอนวัยรุ่นช่วงปลายยิ่งโชคดีใหญ่เลย(หัวเราะ) 

    อะไรที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนเลิกรักกัน ในมุมมองของพี่? 

    ความคาดหวังซึ่งกันและกันมากเกินไป และความเคยชินในความเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่ไม่หันมาพูดคุยกันและปล่อยปะละเลยให้ความเบื่อนั้นเกิดเป็นความเคยชิน คู่รักจริงๆ แล้วต้องหมั่นเติมความหวานให้แก่กันเหมือนวันที่แรกรักกัน แล้วเรื่องการเลิกราก็จะไม่เกิดขึ้น  

    อีกอย่างที่สำคัญคือ “การจ้องจับผิดและการเปรียบเทียบกับคนอื่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งหวังในเรื่องของเงินทองหรือความสำเร็จมากเกินไปคือเร่งเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วพี่อยากจะบอกว่า “เดี๋ยวถึงเวลามันก็มาเองล่ะ” เราควรที่จะ “ทำทุกวันให้มีความสุขมากกว่า” พี่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆแล้วมีปัจจัย4และก็มีเงินออมเก็บสำรองเผื่อไว้เวลาฉุกเฉินก็พอแล้วนะ ชีวิตคนเราบางทีมันเร่งไม่ได้น่ะ 

    อะไรที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันได้ ในมุมมองของพี่? 

    ความรัก ความเข้าใจและความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เพราะถ้าคุณไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็จะะทำให้ตัวเองและคนรอบข้างไม่มีความสุข อย่าอยากมีอยากได้จนเยอะเกินไป เพราะมันจะทำให้ชีวิตคู่ของเราหาความสุขไม่ได้เลย  
    400242 10151305841158055 640639901 n
    รักในแบบ “คุณแม่” ล่ะคะ 

    ความรักแบบแม่เนี่ยจะเรียกว่าไงดี ใช้ว่า “Unconditional” ได้ไหม คือเรารักเค้าพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างและให้อภัยเค้ารวมถึงเป็นกำลังใจให้เค้า ถ้าใครที่มีลูกหลายคนก็ควรที่จะ “รักลูกเท่าๆ กัน” ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะนั่นจะทำให้ครอบครัวเราไม่มีความสุข ลูกๆของพี่เคยบอกพี่ว่า “มาม๊าเป็นโน๊ต อุดมในร่างผู้หญิง” คือพี่ชอบทำให้ลูกๆ หัวเราะน่ะค่ะ พี่เป็นคนชอบหัวเราะเป็นคนเส้นตื้น เพราะเวลาพี่หัวเราะก็มักจะทำให้ลูกๆหัวเราไปด้วย ซึ่งมารีน่าบอกว่า “มาม๊าเป็นคนที่หัวเราะตลกที่สุดในโลก พอฟังแล้วทำให้ต้องหัวเราะตาม”  

    รักในฐานะหน้าที่ “ภรรยา” 

    อันนี้ก็เช่นกัน “Unconditional” เช่นกัน ต้องเป็นเพื่อน พี่ น้อง คู่รัก และก็พร้อมที่จะให้อภัยและอยู่เคียงข้างเค้าเสมอ 

    เคยมีเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับความรักไหมที่ทำให้พี่เสียใจที่สุด และพี่มีวิธีจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร?

    เคยมีนะ แต่พี่ยึดคติ “เวลารักษาแผลใจ” ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องไปเพราะเมื่อถึงวันหนึ่งแล้วน้ำตามันก็จะหยุดไหลไปเอง คือมันจะเริ่มน้อยลงจนไม่มีน้ำตาน่ะค่ะแต่อย่าให้เกินหนึ่งเดือน (หัวเราะ) ส่วนการจัดการนะ พี่ว่า “ใจเราต้องช่วยเราและคิดอะไรให้เป็นเหตุเป็นผลรักตัวเองให้มากที่สุด พยายามทำเรื่องเศร้าให้เป็นเรื่องตลก” 

    ความรักใน “นิยาม” ของพี่เป็นอย่างไรคะ?  

    ความรักคือ “ทำทุกอย่างให้เราและคนที่เรารักมีความสุข นั่นล่ะคือความรัก”  

    พี่เหน่งเคยมาที่บริสเบนเมื่อปีที่แล้ว อยากทราบว่ามีความประทับใจอะไรที่บริสเบนบ้างคะ ถ้าให้มาอีกจะมาไหมคะ? 

    เคยมาบริสเบนค่ะเมื่อปี2013 พี่ชอบ Gold Coast นะคะส่วนเมืองที่บริสเบนก็ดูไม่ค่อยวุ่นวายดี ถ้าถามว่าชอบไหม “พี่ชอบค่ะ” 

    ฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่บริสเบนด้วยค่ะ 

    อยากขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านที่ติดตามผลงานของครอบครัวเรา ทั้งมาร์กี้ มารีน่า และพี่เหน่งเอง ถ้ามีโอกาสพี่จะกลับไปบริสเบนอีกครั้งหนึ่งค่ะ 

     
     
     
    ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 10 ธ.ค. 2560
    Miss Brisbane

    Miss Brisbane

    Fashion Editor
    MaBrisbane.com

     

    เว็บไซต์: www.facebook.com/serena.denis.1