ข่าวล่าสุด:
มาเซน อาลี ชาห์ โด่งดังมาจากเพลง “พระราชาในนิทาน” ซึ่งเป็นเพลงที่แต่งขึ้นให้กับสถานธรรม เสถียรธรรมสถาน ของคุณแม่ชี ศันสนีย์ เสถียรสุต โดยมีเด็ก ๆ มาร่วมร้องเพลงนี้หลายร้อยคน
มาเซนเล่าให้ฟังว่า เริ่มเข้าวงการเพลงมาโดยบังเอิญจากการตามลูกพี่ลูกน้องที่ทำงานที่แกรมมี่ไปเที่ยวเล่นที่บริษัท ประกอบกับสมัยเรียนมัธยมเคยเดินสายประกวดวงดนตรีมาตั้งแต่อายุ 13ปี ทำให้มีความสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องดนตรีเป็นพิเศษอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้เริ่มทำงานดนตรีเป็นงานอดิเรกแต่ก็ทำมาตลอด ซึ่งมาเซนบอกว่า สามารถเริ่มหาสตางค์ได้จากงานอดิเรกนี้มาตั้งแต่อายุ 20
วันนี้พี่รี่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ถึงชีวิตของคุณมาเซน ว่ากว่าจะถึงวันนี้เค้าต้องผ่านอะไรมาบ้าง และแน่นอนที่สุดก็คือ “แรงบัลดาลใจในการแต่งเพลง พระราชาในนิทาน” ที่มียอดหลายล้านวิวภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
พี่รี่- สวัสดีครับ อยากทราบว่าใช้เวลาในการแต่งเพลงพระราชาในนิทานนานไหมครับ
มาเซน- จริง ๆ แล้วผมแต่งเพลงนี้ทั้งเนื้อร้องและทำนองภายในคืนเดียวเองครับ
พี่รี่- คืนเดียว เป็นเวลาที่เร็วมากเลย น้องได้รับแรงบัลดาลใจอย่างไรครับ
มาเซน – เริ่มจากที่ผมก็อยู่ในแวดวงดนตรีมานานพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำงานในเบื้องหลัง และได้มีโอกาสทำงานเพลงเป็นโปรดิวเซอร์ และเคยได้มีโอกาสทำหนังฮอลลีวู๊ดมาก่อนและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมกับทางคุณแม่ชีศันสนีย์ ก็มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้วเพราะทางคุณแม่ผมมักจะไปปฎิบัติธรรมที่นั่นบ่อย ๆ ก็ได้มีการพูดคุยกับคุณแม่ชีศันสนีย์ ซึ่งสมัยก่อนผมก็เคยแต่งเพลงให้กับทางเสถียรธรรมสถานอยู่ก่อนแล้ว แต่คราวนี้เราอยากทำอะไรให้เป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากเป็นการรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งท่านได้ปฎิบัติภารกิจต่าง ๆ มากมาย โดยในความรู้สึกผม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ได้เป็นเหมือนกับพระราชาที่เราเคยรับรู้จากในการ์ตูนว่าจะต้องใส่มงกุฎหรือใส่เครื่องทรงที่สวยงามตลอดเวลา แต่ท่านทรงแต่งตัวและใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและลงมาพบปะกับผู้คนโดยเฉพาะตามแหล่งทุรกันดารมากมาย ประกอบกับท่านยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในหลาย ๆ ด้าน ผมก็เลยนำความรู้และความเข้าใจที่ทั้งเราและคนไทยหลาย ๆ คนได้พบเห็นมาแต่งเป็นเนื้อเพลงเข้าด้วยกัน ซึ่งจุดพีคที่ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จัก คิดว่าเป็นเพรานักเรียนชั้นอนุบาล และประถมต้นในหลาย ๆ โรงเรียนมาร้องเพลงนี้ร่วมกัน รวมทั้งผู้ปกครองและคุณครูหลาย ๆ ท่าน พร้อมกันนั้นในการร้องเพลงและถ่ายเอ็มวี ทุกคนร้องไห้เพราะคิดถึงพระองค์ท่าน ทำให้ทั้งภาพและเสียงของเพลงนี้ได้เข้าไปอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คนครับ
มาเซนเล่าให้ฟังว่า เริ่มเข้าวงการเพลงมาโดยบังเอิญจากการตามลูกพี่ลูกน้องที่ทำงานที่แกรมมี่ไปเที่ยวเล่นที่บริษัท ประกอบกับสมัยเรียนมัธยมเคยเดินสายประกวดวงดนตรีมาตั้งแต่อายุ 13ปี ทำให้มีความสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องดนตรีเป็นพิเศษอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้เริ่มทำงานดนตรีเป็นงานอดิเรกแต่ก็ทำมาตลอด ซึ่งมาเซนบอกว่า สามารถเริ่มหาสตางค์ได้จากงานอดิเรกนี้มาตั้งแต่อายุ 20
วันนี้พี่รี่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ถึงชีวิตของคุณมาเซน ว่ากว่าจะถึงวันนี้เค้าต้องผ่านอะไรมาบ้าง และแน่นอนที่สุดก็คือ “แรงบัลดาลใจในการแต่งเพลง พระราชาในนิทาน” ที่มียอดหลายล้านวิวภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
พี่รี่- สวัสดีครับ อยากทราบว่าใช้เวลาในการแต่งเพลงพระราชาในนิทานนานไหมครับ
มาเซน- จริง ๆ แล้วผมแต่งเพลงนี้ทั้งเนื้อร้องและทำนองภายในคืนเดียวเองครับ
พี่รี่- คืนเดียว เป็นเวลาที่เร็วมากเลย น้องได้รับแรงบัลดาลใจอย่างไรครับ
มาเซน – เริ่มจากที่ผมก็อยู่ในแวดวงดนตรีมานานพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำงานในเบื้องหลัง และได้มีโอกาสทำงานเพลงเป็นโปรดิวเซอร์ และเคยได้มีโอกาสทำหนังฮอลลีวู๊ดมาก่อนและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมกับทางคุณแม่ชีศันสนีย์ ก็มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้วเพราะทางคุณแม่ผมมักจะไปปฎิบัติธรรมที่นั่นบ่อย ๆ ก็ได้มีการพูดคุยกับคุณแม่ชีศันสนีย์ ซึ่งสมัยก่อนผมก็เคยแต่งเพลงให้กับทางเสถียรธรรมสถานอยู่ก่อนแล้ว แต่คราวนี้เราอยากทำอะไรให้เป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากเป็นการรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งท่านได้ปฎิบัติภารกิจต่าง ๆ มากมาย โดยในความรู้สึกผม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านไม่ได้เป็นเหมือนกับพระราชาที่เราเคยรับรู้จากในการ์ตูนว่าจะต้องใส่มงกุฎหรือใส่เครื่องทรงที่สวยงามตลอดเวลา แต่ท่านทรงแต่งตัวและใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและลงมาพบปะกับผู้คนโดยเฉพาะตามแหล่งทุรกันดารมากมาย ประกอบกับท่านยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในหลาย ๆ ด้าน ผมก็เลยนำความรู้และความเข้าใจที่ทั้งเราและคนไทยหลาย ๆ คนได้พบเห็นมาแต่งเป็นเนื้อเพลงเข้าด้วยกัน ซึ่งจุดพีคที่ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จัก คิดว่าเป็นเพรานักเรียนชั้นอนุบาล และประถมต้นในหลาย ๆ โรงเรียนมาร้องเพลงนี้ร่วมกัน รวมทั้งผู้ปกครองและคุณครูหลาย ๆ ท่าน พร้อมกันนั้นในการร้องเพลงและถ่ายเอ็มวี ทุกคนร้องไห้เพราะคิดถึงพระองค์ท่าน ทำให้ทั้งภาพและเสียงของเพลงนี้ได้เข้าไปอยู่ในใจของใครหลาย ๆ คนครับ
พี่รี่- เห็นเกริ่นมาว่าเคยแต่งเพลงให้กับแม่ชี ศันสนีย์มาก่อน เป็นเพลงแนวไหนยังไงคะ
มาเซน- เพลงแรกที่แต่งชื่อ “ธรรมสวัสดี” เพลงนี้ผมทั้งแต่งและร้องเอง (หัวเราะ) เพลงที่สองคือเพลงที่แต่งให้กับครบรอบ 60 พรรษาของในหลวงครับ ชื่อ Share Smile โดยเราได้ดาราเด็กมาร้องเพลงนี้ชื่อน้อง สเตฟาน ซึ่งเป็นลูกครึ่งและได้รับรางวัลให้เป็นตัวแทนยุวฑูตไปพบปะกับยุวฑูตชาติอื่นอีก17 ประเทศครับ
พี่รี่- แล้วทำไมแม่ชีศันสนีย์ถึงให้เซนเป็นผู้แต่งเพลงให้กับเสถียรธรรมสถานคะ คิดว่าท่านเห็นอะไรในตัวเราเป็นพิเศษ และทำไมถึงต้องเป็นเซน
มาเซน- จริง ๆ แล้วต้องเกริ่นนิดหนึ่งว่า ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสไปสวดมนต์ข้ามคืนกับแฟนที่เสถียรธรรมสถานเมื่อช่วงหลายปีมาแล้ว และก็รู้สึกประทับใจกับบรรยากาศที่ดูสงบร่มรื่น เลยพาคุณแม่ไปเดินเที่ยวในวันรุ่งขึ้น และวันนั้นผมก็มีโอกาสได้พบกับคุณแม่ชีศันสนีย์ ซึ่งท่านก็ได้ถามผมว่าผมทำงานอะไรอยู่ ผมก็บอกว่าทำงานเกี่ยวกับวงการเพลง ท่านก็เลยให้ผมแต่งเพลงให้กับนิตยสารสื่อธรรมะ ที่ชื่อว่า “ธรรมสวัสดี”ครับ เพลง “ธรรมสวัสดี” ก็เลยเกิดขึ้น และก็ได้มีโอกาสช่วยเหลือคุณแม่ชีมาตลอดไม่ใช่เฉพาะแค่งานเพลงเท่านั้น
พี่รี่- แต่พอเพลง “พระราชาในนิทาน” เผยแผ่ออกมานี่ รู้สึกว่ามาเซนจะเป็นที่รู้จักมาก ๆ เลยทีเดียว
มาเซน- ก็ตั้งแต่เพลงนี้ออกมา ผมก็ออกรายการทีวีเกือบทุกวันเลยครับ คือออกรายการประมาณ 20 รายการภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ตอนนั้นน้ำหนักลดลงไป 5 กิโลเลยครับ ซึ่งผมต้องบอกเลยว่า จุดหนึ่งที่ทำให้ได้รับความสนใจก็ด้วยบารมีจากคุณแม่ชีศันสนีย์ด้วยเช่นกัน เพราะท่านมีลูกศิษย์ลูกหาที่ให้ความเคารพนับถือท่านอยู่มากมาย พอเราออกรายการด้วย คนก็เริ่มอยากรู้ว่าเราเป็นใคร โดยเฉพาะการแต่งเพลง พระราชาในนิทาน ซึ่งเป็นเพลงที่ผมแต่งขึ้นเพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย ก็เลยเป็นกระแสที่ถูกจุดที่คนจับจ้องอยู่พอดี ซึ่งก็ต้องขอบคุณทุก ๆ ท่านเลยครับที่ให้ความสนใจในเพลงพระราชาในนิทานและตัวผู้แต่งตัวเล็ก ๆ อย่างผม
พี่รี่- ยากไหมคะที่นำเอาเด็ก ๆ ในแต่ละโรงเรียนมาร้องเพลงด้วยกันตั้งหลายร้อยคนและต้องเสร็จภายในวันเดียว
มาเซน- ไม่ยากครับ เรียกว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างสนุกมากกว่า เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ช่วงต้นแล้วว่าก็มีผู้ปกครองและคุณครูมาร่วมร้องด้วย แต่ช่วงที่ยากสุดก็คือ ตอนร้องเพลงแล้วหลาย ๆ คนร้องไห้นี่ล่ะครับ โดยเฉพาะการที่หลาย ๆ คนร้องไห้พร้อม ๆ กัน ซึ่งเราก็ต้องตัดต่อออกมาให้ดูดีที่สุด
พี่รี่- แต่งทางมาเซนและทีมงานก็ทำได้ดีมากทีเดียวนะคะสำหรับงานเพลง พระราชาในนิทานนี้ กลับมาถามนิดหนึ่งค่ะว่า นอกเหนือจากงานเพลงแล้วทำอาชีพอะไรอื่นอีกบ้าง
มาเซน- ผมทำหลายอย่างครับ ก็มีเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทที่ต้องติดต่อสื่อสารกับทางต่างประเทศ ทำงานในวงการบันเทิงบ้างคือดูแลทางด้านแอคติ้งในงานละครให้กับทางโทรทัศน์ ทำธุรกิจส่วนตัวด้วยคือ เสื้อยืดสกรีนสำหรับผู้ชายครับ และอีกงานหนึ่งที่ทำร่วมกับเพื่อน ๆ และพี่ ๆ หลาย ๆ ท่านก็คือ เปิดค่ายเพลงเล็ก ๆ ชื่อ BMM ซึ่งย่อมาจาก Barber Man Music Land ซึ่งก็จะคัดเลือกศิลปินรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าสู่วงการเพลง และก็ทำเกี่ยวกับงานอีเวนท์ต่าง ๆ ด้วยครับ คือถ้าใครมีงานเปิดบริษัทเราก็จะมีศิลปินของค่ายเราไปร่วมงานให้ความบันเทิง รวมทั้งดูด้วยว่าเด็กคนไหนมีแววไปทางด้านการแสดง หรือถ่ายโฆษณาสินค้า คือเรียกง่าย ๆ ว่าก็ครอบคลุมทุกสายในวงการบันเทิง ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับงานของแต่ละองค์กรหรือบริษัทเหล่านั้นด้วยครับ
พี่รี่- เห็นว่าเพิ่งนำตัวศิลปินบางส่วนไปเปิดตัวในงานช่วยเหลือน้ำท่วมทางภาคใต้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาด้วย
มาเซน- ใช่ครับ ก็งานนั้นเป็นงานการกุศลที่ทางค่าย BMM ได้มีโอกาสจัดร่วมกับองค์ต่าง ๆ หลายองค์กร โดยเฉพาะกับทางภาครัฐบาล และได้รับความอนุเคราะห์จากศิลปินต่าง ๆ หลายท่าน รวมถึงคนในแวดวงบันเทิงและสายเซเลบริตี้ ที่ได้ช่วยสนับสนุนทางด้านการเงิน สิ่งของเครื่องใช้และอาหารการกิน รวมถึงแบ่งปันของรักส่วนตัวมาประมูลด้วยครับ ก็เรียกได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะพวกเรามีเวลาเตรียมงานกันแค่ 2 อาทิตย์เอง แต่บังเอิญงานนั้นเราต้องรีบทำเพราะเป็นช่วงที่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมทางใต้ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
พี่รี่- ในฐานะที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานาน แต่รู้สึกว่าเซนจะถนัดดูแลทางด้านงานเบื้องหลังมากกว่าหรือเปล่าครับ
มาเซน- ผมชอบงานที่อยู่เบื้องหลัง ชอบเป็นฝ่ายผลักดันและดูแล ให้คนที่อยู่เบื้องหน้าได้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจริง ๆ แล้วผมคิดว่า มันต้องประกอบไปทั้งคนดูแลทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ต้องทำงานไปด้วยกันได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ออกข้างหน้าเลย โดยเฉพาะผมได้รับคำแนะนำจากคุณแม่ชีศันสนีย์ด้วยว่า ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของพระราชา ถ้าเราไม่ป่าวประกาศ คนจะรู้ได้อย่างไร บางเรื่องเราก็ต้องอยู่ข้างหน้าบ้าง บางงานก็อยู่ข้างหลังบ้าง ผมก็เริ่มออกงานเบื้องหน้าบ้าง บางงานทางผู้จัดซึ่งเป็นงานการกุศลพอทราบว่าผมพอจะร้องเพลงเล่นดนตรีได้บ้าง ก็มาขอให้ผมร้องเพลงให้ ผมก็รับบ้างครับ
พี่รี่- แล้วตัวของเซนเอง ถ้าให้เลือกจริง ๆ คิดว่าตัวเองเหมาะกับทางไหนมากกว่า เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังคะ
มาเซน- ผมคิดว่าตัวผมเหมาะกับงานทางเบื้องหลังนะครับ รู้สึกว่าเบื้องหน้าเหมือนไม่ใช่เรา ซึ่งอันนี้ก็ไม่ทราบว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมแค่รู้สึกว่าผมมีความสุขและก็สบายใจในสิ่งที่ทำ
พี่รี่- ถ้าให้พูดถึงงานเพลงในปัจจุบัน เซนมองว่างานเพลงในยุคปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร เพราะเห็นหลาย ๆ คนก็บอกว่า วงการเพลงตอนนี้ถึงจุดที่ตันแล้ว ค่ายเพลงหลาย ๆ ค่ายก็เริ่มรับภาระต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจไม่ไหว แต่ทางเซนกับเพื่อน ๆ กลับมาทำงานเพลง
มาเซน- ผมมองว่า “ดนตรีคือศิลปะครับ” ซึ่งเป็นศิลปะในเชิงพาณิชย์แต่ว่าจะอยู่ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการคัดกรองของแต่ละคน แต่ผมคิดว่าทุกคนที่มีศิลปะและรักในการร้องเพลงหรืองานเพลง น่าจะใช้ช่วงเวลานี้ล่ะพิสูนจ์ความรักและความสามารถของตัวเอง สมัยนี้เราสามารถใช้สื่อโซเชียลต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ผลงานของตัวเองได้ ซึ่งถ้างานคุณ “โดนใจ” ผู้ฟังหรือได้รับการยอมรับ คุณก็จะเป็นที่รู้จักโดยทันทีซึ่งตรงนี้ล่ะครับที่ผมมองว่าเป็นโอกาสเพราะเราได้สัมผัสกับผู้ฟังเพลงที่เค้าติดตามเราจริง ๆ สรุปคือ ไม่ได้มองว่าเป็นจุดเลวร้ายอะไรในธุรกิจงานเพลง แต่เรามองเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกยุคหนึ่งที่เราต้องก้าวตามไปให้ทันก็เท่านั้นครับ
พี่รี่- แล้วอนาคตมองว่าตัวเองอยากทำอะไรคะ
มาเซน- ผมก็ยังคงทำงานเพลงต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นงานที่ผมถนัดและรักอยู่แล้ว แต่เราต้องทำงานอื่นประกอบไปด้วย เพราะในโลกปัจจุบันเราสามารถทำธุรกิจอะไรได้มากกว่าหนึ่งอย่างครับ
พี่รี่- สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณมาเซนที่ให้โอกาพี่รี่ได้สัมภาษณ์นะคะ และหวังว่าในอนาคตจะได้มีโอกาสต้อนรับมาเซนและเพื่อน ๆ จากค่ายเพลง BMM ด้วยนะคะ