คุณอรศรี นามสกุลเดิม คือ พูลขวัญ เป็นสาวนครปฐม และเริ่มต้นเข้าสู่วงการครั้งแรกโดยการเป็นนางแบบผมด้วยการชักชวนของ “คุณสมศักดิ์ ชลาชล” ช่างทำผมเซเลปชื่อดังของเมืองไทยในปัจจุบัน เรียกได้ว่าในยุคปลายปี 80 ถึงปี 90 ชื่อของอรศรี พูลขวัญนั้นเป็นที่รู้จักกันในแวดวงนางแบบเป็นอย่างมาก สำหรับตำแหน่งที่เธอเคยได้มาครอบครองนั้นเรียกได้ว่า ไม่แพ้คุณลูกมาร์กี้ และน้องมารีน่าเลยทีเดียว เรามาทำความรู้จักพี่เหน่งกันเลยดีกว่านะคะ
สวัสดีค่ะพี่เหน่ง ก่อนอื่นขอทราบประวัติคร่าวๆ เลยนะคะว่าพี่เคยได้รับตำแหน่งอะไรมาบ้างคะ?
ครั้งแรกที่พี่ประกวดและได้รับตำแหน่งคือ มิสยูนิเวอร์ซิตี้ ปี 1987 และนั่นก็คือการได้มีโอกาสไปเมืองนอกครั้งแรกในชีวิตของพี่ เพราะพี่ต้องเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดที่ประเทศญี่ปุ่น และการไปเมืองนอกครั้งนี้ทำให้พี่ได้ประสบการณ์เยอะมาก เพราะได้เห็นว่าบ้านเมืองของเค้าดูเป็นระเบียบและสะอาด ที่สำคัญคือเป็นแรงผลักดันให้พี่อยากเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นค่ะ
ย้อนมาตอนช่วงเข้าวงการนิดหนึ่งนะคะว่าคุณสมศักดิ์มาเจอพี่ได้อย่างไร?
คือตอนนั้นพี่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งพี่จะมีลักษณะโดดเด่นที่ทุกคนจำได้คือ พี่จะใส่เสื้อลายสก๊อตซ์กางเกงยีนส์และในมือจะมีถุงโอเลี้ยงเป็นประจำ พี่คงเป็นคนมีบุคลิกแปลกๆ มั้งคะ (หัวเราะ) พอดีพี่สมศักดิ์ ชลาชลมาเห็นก็เลยติดต่อให้พี่ไปเป็นแบบผมให้ ซึ่งเป้าหมายในการเป็นนางแบบของพี่ก็คือ อยากได้สตางค์มาเป็นทุนสนับสนุนตัวเองในเรื่อง “การเรียนหนังสือ” และ “ค่าหอพัก” เพราะตอนนั้นพี่อยู่หอน่ะค่ะ หลังจากที่พี่ได้เข้าไปสัมผัสชีวิตในวงการนางแบบผม พี่ก็ได้มีโอกาสพบปะนางแบบและดารามากมายซึ่งตอนนั้นพี่ได้ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายต้อนรับให้กับพี่สมศักดิ์ที่ร้านด้วย พอพี่ได้เห็นคนสวยๆ ทุกวันมันก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้พี่อยากเป็นนางแบบกับเค้าบ้าง จนอยู่มาวันหนึ่งพี่เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัยเข้ามาที่ร้านซึ่งปกติแล้วพี่เจี๊ยบก็เข้ามาเป็นประจำอยู่แล้ว พี่เลยตัดสินใจพูดกับพี่เจี๊ยบเลยว่า “พี่เจี๊ยบคะ เหน่งอยากเป็นนางแบบบ้างจังเลย เหน่งควรทำยังไงบ้างคะ” ซึ่งพี่เจี๊ยบก็น่ารักมากที่แนะนำให้พี่ไปเรียนเดินแบบกับพี่กู๊ดดี้ ซึ่งตอนนั้นพี่กู๊ดดี้เป็นผู้จัดงานอีเวนท์หลายๆ งาน พี่กู๊ดดี้ก็เลยให้เทปนางแบบพี่มาดูก่อนเพื่อว่า นางแบบเค้าเดินกันอย่างไร นั่นล่ะค่ะเป็นอะไรที่จุดประกายพี่ให้เข้าสู่วิถีชีวิตนางแบบ แต่เรื่องตลกก็มีนะคะคือ หน้าตาของพี่เหน่งไม่ใช่สไตล์ “คนสวย” ของสมัยนั้น เพราะสมัยก่อนต้องเป็นลูกครึ่งสวยๆ ไปเลย เช่น คุณแมว ชลิตา หรือไม่ก็หน้าสวยแบบหวานๆ หรือเฉี่ยวๆ แต่พี่เป็นแบบแปลกๆ (หัวเราะ) เพราะตอนที่พี่อยู่หอขนาดพี่บอกคนที่หอว่า “เออ เหน่งจะได้เป็นนางแบบแล้วนะ” พวกเค้ายังไม่เชื่อเลย (หัวเราะ) และในที่สุดพี่ก็ได้เป็นนางแบบและเดินแบบรุ่นเดียวกันกับ คุณแมว ชลิตา คุณอุ๋ม อาภาศิริ คุณเจน นพวรรณ และคุณปู กมลชนก ปานใจ เป็นต้นค่ะ
แล้วพวกเพื่อนๆ ที่หอพี่ไม่อึ้งไปเลยเหรอคะ?
เค้าก็คงอึ้งแบบงงๆ น่ะนะ (หัวเราะ) คงประมาณว่า “เป็นไปได้ไงวะ” อะไรอย่างเนี้ย
ในช่วงที่พี่มีชื่อเสียงโด่งดังพี่ก็ได้พบรักกับคุณพ่อของน้องมาร์กี้และน้องมารีน่า คือคุณแดเนียล บาเลนซิเอก้า (ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง) แล้วพี่เหน่งก็เริ่มหันหลังให้กับวงการนางแบบ อยากทราบว่าช่วงนั้นพี่ทำอะไรบ้างคะ?
ตอนนั้นพี่เป็นนางแบบรุ่นแรกๆ เลยที่ออกจากวงการในขณะที่ยังมีงานอยู่เพราะพี่ต้องช่วยสามีคือคุณเดเนียล ดูแลร้านเสื้อผ้าซึ่งมีสองสาขาคือที่ หลังสวน และเซ็นทรัล ซึ่งช่วงนั้นขาดคนดูแล เพราะคุณเดเนียลต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย อีกอย่างที่สำคัญคือพี่เริ่มท้องน้องมาร์กี้แล้วด้วย ก็เลยตัดสินใจหันหลังให้กับวงการนางแบบไปก่อนค่ะ
อยากทราบว่าในปัจจุบันนี้พี่เหน่งทำธุรกิจอะไรบ้างคะ?
คือพี่น่ะอยู่ในช่วง Semi Retire ก็คือยังคงรับจัดงานอีเวนท์หรืองานการกุศลอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่พี่พยายามจะให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า เพราะตอนนี้อายุพี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วพี่คิดว่าการใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักนั้นดีที่สุด แต่ก็ยังคงช่วยดูงานให้ลูกๆ เพราะพี่ต้องเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ลูกสาวทั้งสองคนคือ มาร์กี้ และมารีน่า (มารีน่าเพิ่งจะเข้าวงการการแสดงค่ะ) คือมารีน่า ไปประกวดนางแบบเอเซียที่ประเทศจีนเมื่อปี 2013 ซึ่งน้องได้ตำแหน่งรองอันดับสามกับตำแหน่ง “ขวัญใจช่างภาพ” และตอนนี้ก็ได้เป็นนักแสดงในเรื่อง “มาดามดัน” ของช่อง 3 ซึ่งเรื่องนี้มารีน่าเล่นคู่กับ “อินดี้” อินทัช เหลียวรักวงศ์ ลูกชายของคุณฮันนี่ ภัสสร กับคุณบี๋ ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ค่ะ
พี่เหน่งก็รับงานละครเหมือนกันใช่ไหมคะ เห็นเล่นอยู่หลายเรื่องด้วย ตอนนี้พี่รับละครไว้บ้างหรือเปล่าคะ?
ก็ส่วนใหญ่จะมีเล่นในบทรับเชิญนะคะ พี่ก็รับเชิญไปเรื่อยๆ เพราะเป็นงานที่เราทำแล้วเราสนุก ได้คุยเรื่องเดียวกันกับลูกๆ ชีวิตจะได้อัพเดทกับลูกๆ ตลอดเวลาและมีเรื่องให้คุยกันตลอด เพราะเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน รู้จักคนคนเดียวกัน พี่รับเชิญหลายเรื่องมากและบ่อยมากที่สำคัญคือ ในบทต้องตายบ่อยมาก(หัวเราะ) จนมาร์กี้แอบเอาไปเม้าส์ เมื่อมีคนถามว่า “คุณแม่หนูทำอะไร” มาร์กี้ตอบว่า “คุณแม่หนูรับจ้างตายค่ะ(ในละคร)”
ทราบมาว่าพี่รับงานการกุศลด้วยเห็นว่าไปถ่ายปฎิทินครอบครัวสามแม่ลูกขององค์กรอะไรคะ?
เป็นการถ่ายปฎิทินของ “มูลนิธิคาทอลิก” ซึ่งเป็นมูลนิธิที่จะช่วยเหลือดูแลเด็กพิการของมูลนิธิน่ะค่ะ ก็จะเป็นปฎิทินที่ถ่ายกันแบบครอบครัวสามแม่ลูก ซึ่งถ้าใครสนใจก็สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่มูลนิธิเลยค่ะ ราคาหนึ่งร้อยบาทต่อปฎิทินค่ะ สำหรับเว็ปไซด์ที่จะติดต่อได้ก็คือ www.camillianhomelatkrabang.org หรือ ติดต่อได้โดยตรงที่ 662-3607852-3 และสำหรับผู้ที่อยู่ที่ออสเตรเลียก็สามารถติดต่อได้โดยตรงกับ MaBrisbane ได้โดยตรงนะคะ
กลับมาถึงเรื่องความรัก ณ ปัจจุบัน ไม่ทราบว่าพี่เหน่งกับคุณไมค์ (คุณไมเคิล ฮอนโนลด์) เจอกันได้อย่างไรคะ และปิ๊งกันตั้งแต่แรกพบเลยหรือเปล่า?
จริงๆ แล้วพี่น่ะเป็นแม่สื่อให้เพื่อนคนหนึ่งนะ แต่พอดีว่าวันนั้นน้องคนที่พี่นัดให้ไปเจอกับคุณไมค์เค้าติดประชุมน้องเค้าเลยให้พี่ไปพบเพื่อไปพูดคุยพลางๆก่อน เพราะเวลาเรานัดคนต่างชาติเนี่ย การรักษาเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่เป็นคนนัดเอง คือรู้จักผ่านเพื่อนพี่ที่เป็นครูสอนภาษาไทยน่ะค่ะ พี่ก็เลย “เอาวะ ไปก็ไป” พอไปเจอปุ๊ป คุณไมค์ก็มาบอกทีหลังว่า “ชอบคุณเหน่งถ้าเพื่อนคุณเหน่งไม่ปรากฎตัวก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ)” แต่ตัวพี่ก็ไม่รู้อะไรหรอกนะคะก็คุยๆ กับคุณไมค์ไปเรื่อยและก็รอจนน้องคนนั้นเค้ามา แต่คุณไมค์ก็ไปบอกกับเพื่อนพี่ที่เป็นครูสอนภาษาไทยว่า “ชอบคุณเหน่ง” ก็เลยกลายเป็น “งานนี้แม่สื่อเอาเอง(หัวเราะ)”
ใช้เวลานานแค่ไหนในการศึกษาดูใจกันก่อนแต่งงานคะ?
ประมาณสามปีค่ะ
และอะไรที่ทำให้พี่ตัดสินใจแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง?
คือคุณไมค์เนี่ยเป็นผู้ชายอย่างที่พี่คิดไว้และก็ตรงตามที่ใช่ ก็เลยตัดสินใจแต่งงาน คุณไมค์เป็นคนใจเย็น สุภาพ ยอมรับฟังในสิ่งที่พี่ต้องการได้ ที่สำคัญเลยคือให้เกียรติพี่และครอบครัวพี่มาก ซึ่งพี่ก็ยอมรับฟังในตัวคุณไมค์ด้วยเช่นกัน คติของพี่ก็คือ “อยู่ด้วยแล้วต้องมีความสุขถ้าอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเองจะไม่คบเลย” อีกอย่างที่พี่อยากจะบอกสำหรับคนที่รักกันและกำลังตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก็คือ ให้ซื่อสัตย์ในความรู้สึกตัวเองมากๆ แสดงออกในความเป็นตัวเองทั้งคู่ห้ามเสแสร้ง ถ้าไม่ชอบอะไรก็บอกกัน คุยกันปรึกษากันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย รายได้สำหรับการอยู่ร่วมกัน พยายามคุยกันให้มากที่สุดเพื่อความต้องการจะได้ตรงกัน และจะทำให้การใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันง่ายขึ้น อีกอย่างที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันแล้วเราก็ต้องปรึกษากันตลอด อย่าคิดเองเออเองซึ่งบางทีความคิดของเรากับเค้ามันอาจจะสวนทางกันและทำให้เกิดการเข้าใจผิด
ทราบมาว่าคุณไมค์พูดภาษาไทยได้คล่องมาก อยากทราบว่าคุณไมค์ทำงานเกี่ยวกับองค์กรอะไรคะ?
คุณไมค์เป็น “ผู้ช่วยทูตฝ่ายวัฒนธรรมของสถานทูตอเมริกา” ตอนนี้คุณไมค์ประจำอยู่ที่ประเทศไทยค่ะ
พี่เหน่งมีวิธีอย่างไร หรือพูดคุยกับลูกอย่างไรให้เข้าใจในความรักครั้งนี้ของพี่?
พี่กับลูกเนี่ยจะเป็นเพื่อนกันนะ คือเราสามารถคุยและปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ซึ่งพี่ก็มีการคุยกับลูกทั้งสองตั้งแต่แรกๆ นะว่า ตอนนี้มาม๊ามีคนมาชอบนะ ซึ่งลูกๆ ก็จะรับฟัง แต่พี่ก็ยังไม่รีบร้อนให้ลูกต้องรู้จักคุณไมค์นะคะ จนกว่าพี่จะแน่ใจในตัวของคุณไมค์แล้วพี่ถึงกล้าพาเค้าไปทำความรู้จักกับลูกๆ ของพี่ เห็นไหมคล้ายๆ กับว่าตอนเราเป็นเด็กเราต้องพาคนรักของเรามาให้ “พ่อแม่”เรารู้จัก แต่พอตอนนี้เราโตเป็นแม่คนแล้วกลับกลายเป็นว่าเราต้องพาคู่รักของเรามาพบ “ท่านลูก” แทนตลกดี (หัวเราะ) คือลูกๆ จะรับทราบเรื่องของแม่มาโดยตลอด และในขณะเดียวกันลูกๆก็จะรับฟังและช่วยออกความเห็นด้วยบ้างเหมือนกัน
อะไรที่ทำให้ลูกทั้งสองยอมรับคุณพ่อคนใหม่?
คงจะเป็นเรื่องที่คุณไมค์เป็นคนดี อบอุ่น สุภาพและรักแม่เค้า ซึ่งลูกๆ ถือว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ลูกๆ ชอบพูดติดตลกว่า “วัยของมาม๊าถูกหลอกรับประทานง่ายเค้าต้องดูแล” (หัวเราะ) และคุณไมค์ก็ไม่เคยบังคับให้ลูกๆ ของพี่ต้องเรียกเค้าว่า “พ่อ” เลย เพราะคุณไมค์บอกว่า ทั้งมาร์กี้และมารีน่ามีพ่อคนเดียวคือคุณเดเนียล ซึ่งคุณไมค์ไม่สามารถที่จะเป็นพ่อแทนได้ แค่ได้อยู่ด้วยกันและรักกันในฐานะครอบครัวแค่นี้ก็ดีแล้ว (ลูกๆ ของพี่เหน่งเรียกคุณไมค์ว่า “น้าไมค์”) ซึ่งมารีน่าถึงขนาดเคยพูดกับพี่ว่า “ถ้าวันนึงมาม๊าเลิกกับน้าไมค์ หนูก็คงอยู่กับน้าไมค์น่ะค่ะ” อีกอย่างที่พี่โชคดีก็คือ ตอนพี่คบกับคุณไมค์เนี่ยลูกๆ ก็เริ่มโตและมีความคิดเองได้แล้วก็เลยง่ายขึ้นมั้งคะ เพราะลูกๆ พี่เค้าจะสามารถสัมผัสได้เอง
พี่ว่า พี่เป็นคนโชคดีด้านความรักไหมคะ?
น่าจะโชคดีนะคะ เพราะพี่เติบโตมาในครอบครัวที่พี่น้องรักกันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนๆ หรือหลายๆ คนที่พี่คบอยู่พวกเราก็จะยังรักกันอยู่ แล้วมาเจอคู่รักที่ดีในตอนวัยรุ่นช่วงปลายยิ่งโชคดีใหญ่เลย(หัวเราะ)
อะไรที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนเลิกรักกัน ในมุมมองของพี่?
ความคาดหวังซึ่งกันและกันมากเกินไป และความเคยชินในความเป็นคู่รักหรือสามีภรรยาที่ไม่หันมาพูดคุยกันและปล่อยปะละเลยให้ความเบื่อนั้นเกิดเป็นความเคยชิน คู่รักจริงๆ แล้วต้องหมั่นเติมความหวานให้แก่กันเหมือนวันที่แรกรักกัน แล้วเรื่องการเลิกราก็จะไม่เกิดขึ้น
อีกอย่างที่สำคัญคือ “การจ้องจับผิดและการเปรียบเทียบกับคนอื่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งหวังในเรื่องของเงินทองหรือความสำเร็จมากเกินไปคือเร่งเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วพี่อยากจะบอกว่า “เดี๋ยวถึงเวลามันก็มาเองล่ะ” เราควรที่จะ “ทำทุกวันให้มีความสุขมากกว่า” พี่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆแล้วมีปัจจัย4และก็มีเงินออมเก็บสำรองเผื่อไว้เวลาฉุกเฉินก็พอแล้วนะ ชีวิตคนเราบางทีมันเร่งไม่ได้น่ะ
อะไรที่เป็นปัจจัยที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันได้ ในมุมมองของพี่?
ความรัก ความเข้าใจและความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เพราะถ้าคุณไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็จะะทำให้ตัวเองและคนรอบข้างไม่มีความสุข อย่าอยากมีอยากได้จนเยอะเกินไป เพราะมันจะทำให้ชีวิตคู่ของเราหาความสุขไม่ได้เลย
รักในแบบ “คุณแม่” ล่ะคะ
ความรักแบบแม่เนี่ยจะเรียกว่าไงดี ใช้ว่า “Unconditional” ได้ไหม คือเรารักเค้าพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างและให้อภัยเค้ารวมถึงเป็นกำลังใจให้เค้า ถ้าใครที่มีลูกหลายคนก็ควรที่จะ “รักลูกเท่าๆ กัน” ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะนั่นจะทำให้ครอบครัวเราไม่มีความสุข ลูกๆของพี่เคยบอกพี่ว่า “มาม๊าเป็นโน๊ต อุดมในร่างผู้หญิง” คือพี่ชอบทำให้ลูกๆ หัวเราะน่ะค่ะ พี่เป็นคนชอบหัวเราะเป็นคนเส้นตื้น เพราะเวลาพี่หัวเราะก็มักจะทำให้ลูกๆหัวเราไปด้วย ซึ่งมารีน่าบอกว่า “มาม๊าเป็นคนที่หัวเราะตลกที่สุดในโลก พอฟังแล้วทำให้ต้องหัวเราะตาม”
รักในฐานะหน้าที่ “ภรรยา”
อันนี้ก็เช่นกัน “Unconditional” เช่นกัน ต้องเป็นเพื่อน พี่ น้อง คู่รัก และก็พร้อมที่จะให้อภัยและอยู่เคียงข้างเค้าเสมอ
เคยมีเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับความรักไหมที่ทำให้พี่เสียใจที่สุด และพี่มีวิธีจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร?
เคยมีนะ แต่พี่ยึดคติ “เวลารักษาแผลใจ” ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องไปเพราะเมื่อถึงวันหนึ่งแล้วน้ำตามันก็จะหยุดไหลไปเอง คือมันจะเริ่มน้อยลงจนไม่มีน้ำตาน่ะค่ะแต่อย่าให้เกินหนึ่งเดือน (หัวเราะ) ส่วนการจัดการนะ พี่ว่า “ใจเราต้องช่วยเราและคิดอะไรให้เป็นเหตุเป็นผลรักตัวเองให้มากที่สุด พยายามทำเรื่องเศร้าให้เป็นเรื่องตลก”
ความรักใน “นิยาม” ของพี่เป็นอย่างไรคะ?
ความรักคือ “ทำทุกอย่างให้เราและคนที่เรารักมีความสุข นั่นล่ะคือความรัก”
พี่เหน่งเคยมาที่บริสเบนเมื่อปีที่แล้ว อยากทราบว่ามีความประทับใจอะไรที่บริสเบนบ้างคะ ถ้าให้มาอีกจะมาไหมคะ?
เคยมาบริสเบนค่ะเมื่อปี2013 พี่ชอบ Gold Coast นะคะส่วนเมืองที่บริสเบนก็ดูไม่ค่อยวุ่นวายดี ถ้าถามว่าชอบไหม “พี่ชอบค่ะ”
ฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่บริสเบนด้วยค่ะ
อยากขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านที่ติดตามผลงานของครอบครัวเรา ทั้งมาร์กี้ มารีน่า และพี่เหน่งเอง ถ้ามีโอกาสพี่จะกลับไปบริสเบนอีกครั้งหนึ่งค่ะ