อาจารย์ฉอม ไพ่ทาโรต์อินเตอร์ ฉายานี้มีที่มาค่ะ เหตุผลหลักก็คือบรรดาลูกค้าผู้มีอุปการะคุณของอาจารย์ฉอมของเราส่วนใหญ่จะอยู่ต่างประเทศ และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้อาจาย์ฉอมของเราต้องมีเวลากินนอนที่แตกต่างจากคนในประเทศไทยทั่วไป เพราะเวลาที่สะดวกของลูกค้าต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเวลาช่วงกลางคืนของประเทศไทย แต่กลับกลายเป็นว่าอาจารย์ฉอมกลับชอบเพราะอาจารย์ให้เหตุผลว่า "เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบและมีสมาธิทีสุด" และต่อจากนี้ไปเรามาทำความรู้จัก อาจารย์ฉอมกันดีกว่าค่ะ
Who are you?
เอาแค่คร่าวๆ พอนะคะ เรียนจบมัธยม เอกศิลป์ คำนวณจาก รร.ศึกษานารี ด้วยเกรดที่แสนธรรมดา แล้วโชคชะตาก็เผอิญให้สอบติดคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมัยนั้นบางคนไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคณะนี้เรียนเกี่ยวกับอะไร ผิดกับสมัยนี้ที่คะแนนสอบเข้าแทบจะเป็นอันดับหนึ่งของสายศิลป์
ด้วยความที่เรียนมาด้านเอกโฆษณา ทำให้เป็นคนชอบคิด ชอบเขียน เพราะถูกฝึกให้คิดอะไรนอกกรอบ ด้วยแนวความคิดที่ว่า "ถ้าไม่โดดเด่น ก็ไม่แตกต่าง" จบออกมาก็เริ่มทำงานโปรดั๊กชั่นหนังโฆษณา แล้วเขยิบไปทำด้านครีเอทีฟ บริษัทโฆษณาขนาดกลางๆ อีกหลายแห่ง จนมีความรู้สึกว่า ตัวเองไม่เหมาะกับบุคลิกของคนโฆษณา อาจชอบอะไรลุยๆ เซอร์ๆ หรือสังคมที่สัมผัสได้อย่างสบายใจบ้าง เลยหันเหมาทำด้านรายการโทรทัศน์ที่บริษัท ทีวีซีน อยู่ในยุคบุกเบิกรุ่นแรกๆ ตอนนั้นยังทำรายการวาไรตี้บันเทิง เขียนสคริปต์ คุมถ่าย ตัดต่อเอง มีออกกองละครไปช่วยเค้าบ้าง หลังจากนั้นมีคนชวนไปทำงานหนังสือในตำแหน่งบรรณาธิการนิตยสาร "CEO" เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของนักบริหาร ไม่หนักเหมือนอ่านตำรา ไม่เบาแบบไร้สาระ แล้วก็เปลี่ยนไปอีกหลายหัวตามธรรมชาติคนทำหนังสือ จนมาจบที่นิตยสาร "วัยหวาน" ดูหน้าไม่ให้เลยใช่มั๊ยคะ (หัวเราะ)
เริ่มดูหมอได้อย่าง?
ช่วงนั้นเป็นวิกฤติ "ต้มยำกุ้ง" ประมาณปี 39-40 นิตยสารที่ทำต้องปิดตัวเอง ที่นี่ยังไงล่ะก็เคว้ง นาทีนั้นอย่าคิดไปหางานให้ยาก เพราะใครๆ ก็พากันปิดกิจการ โละพนักงานออกหมด รายการต่างๆ ก็เจ๊งกันระนาวเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจต่างก็ไม่มีเงินจ่ายค่าโฆษณา เรียกว่าเป็นโดมิโนไปหมด ที่นี้ความที่เป็นคนชอบดูหมอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนเรียนจุฬาฯ ก็เคยดูให้เพื่อนเล่นๆ แต่ไม่ได้คิดจริงจัง จนเพื่อนแซวว่า "ไอ้ฉอมไปเป็นหมอดูดีกว่า" แต่จุดเปลี่ยนอยู่ที่มีน้องรู้จักคนหนึ่ง อยู่ๆ เค้าไปค้นตู้เสื้อผ้าแล้วไปเจอเบอร์อาจารย์ธนกร สุขเกษม ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เพราะเค้าเคยเรียนดูหมอกับอาจารย์นานแล้ว ไม่น่าจะมีเบอร์เก็บไว้ เป็นเศษกระดาษใบเล็กๆนิดเดียว ก็ติดต่ออาจารย์ไป จนได้มาเรียนกับอาจารย์ที่สมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าอาจารย์ค่อนข้างดัง เรียนทั้งเลขเจ็ดตัว สี่ฐานที่ตัวอาจารย์เองเป็นคนค้นคิด ในการเอาทักษามาจับ ทำให้แม่นยำมากขึ้น เรียกว่า "คัมภีร์มหาสัตตเลข" หลังจากนั้นก็เรียน "ไพ่ทาโร่ต์" ที่พอมีพื้นฐานอยู่แล้ว โดยที่ทั่วไปจะเรียงแบบ "เซลติค ครอส" ซึ่งเป็นการเรียงแบบดั้งเดิม แต่อาจารย์ธนกร ได้นำเอาหลักของเลขเจ็ดตัวสี่ฐาน มาใช้ในการวางเรียงไพ่ทาโร่ต์ ซึ่งอาจารย์ก็ไม่ได้สอนโดยตรง แต่ลองเอามาดูให้ลูกศิษย์หลังคลาสเรียนแต่ละครั้ง จริงๆ แล้วอาจารย์แกก็ค่อนข้างหวงสูตรนี้อยู่ และไม่คิดว่าใครจะเอาไปใช้ แต่ด้วยความสนใจและครูพักลักจำไปเรื่อย พี่เลยใช้สูตรการเรียงไพ่ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเท่าที่ทราบแม้แต่อาจารย์ที่ทุกวันนี้เป็นนายกสมาคมโหราศาสตร์ ยังไม่นำเอาสูตรที่ตัวเองประดิษฐ์คิดค้นไปใช้ในการดูไพ่ทาโร่ต์เลย พี่มั่นใจว่า พี่เป็นคนเดียวที่เอาสูตรการเรียงไพ่ของเลขเจ็ดตัวมาใช้กับไพ่ทาโร่ต์ แล้วทายง่าย(แต่อ่านยาก) ได้ผลค่อนข้างแม่นยำ จากที่ลูกค้าฟีดแบคมา
คิดว่าตัวเองดูแม่นมั๊ย เพราะหมอดูส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองดูแม่น?
อย่าใช้คำว่าดูแม่นหรือไม่แม่นดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วการที่คนมาพึ่งหมอดูก็เหมือนกับการมาหาเพื่อนคุย พร้อมกับมีพิธีกรรมบางอย่างที่ช่วยย้ำข้อสงสัยที่อยู่ในใจ หรือคลายปมปัญหาบางเรื่อง ซึ่งถ้าทำนายทายทักออกมาตรงกับสิ่งที่เพิ่งเกิด เค้าก็คิดว่าเราดูแม่น ส่วนจะเที่ยงตรงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลการคาดการณ์อนาคตที่เราทายให้เค้าด้วย โชคดีที่ส่วนใหญ่การทำนายของพี่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องโชค เคราะห์ งาน เงิน ส่วนความรักจะบอกเลยว่า ดูได้แค่ 50% นะ เพราะอีก 50% ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เองในปัจจุบันด้วย ถ้าเค้าทำกรรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว กอปรกับบุญกรรมภพชาติก่อนที่สั่งสมกันมา ถ้ากรรมดีมากกว่าเค้าก็จะเจอคู่สร้างคู่สม แต่ถ้าชาตินี้เก็บกินบุณเก่า บุญใหม่ไม่สร้าง ก่อแต่กรรมชั่ว ก็จะเจอคู่เวรคู่กรรม
ทำไมมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ?
คงเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกว่าเผอิญลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานที่มีลูกค้าหลายหลาก ทั้งพนักงานธนาคาร เซลล์ วิศวกร หมอ ครู อาจารย์ ข้าราชการ แอร์โฮสเตส เจ้าของธุรกิจ นักร้อง นักแสดง ฯลฯ แล้วอีกอย่างพี่จบมาทางด้านนิเทศศาสตร์ก็เลยมีเพื่อนทางด้านวงการบันเทิงทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง ก็ปากต่อปากกันไป จนกระจายไปต่างประเทศ บางทีอย่างถ้าดูกันประจำพี่ก็จะบอกให้เค้าซื้อไพ่ไว้เลย แล้วก็ดูผ่านสไกร์ปหรือใช้โทรทางไกลเอา ให้สับไพ่ เรียงไพ่ตามขั้นตอนที่บอก ผลออกมาค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจนะพี่ว่า เพราะส่วนใหญ่ดูกันมาหลายๆ ปีจนสนิทเป็นเพื่อนกันไปเลย
อยากให้พูดถึงความเชื่อในเรื่องการดูดวง กับการใช้ในชีวิตประจำวัน?
อาจเพราะการที่เราเป็นคนพูดตรง และให้คำแนะนำเค้าอย่างมีสติ ใช้ทางพุทธศาสนามาประกอบการทำนาย ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ มักแนะนำให้เค้าปฎิบ้ติธรรมหรือทำบุญในทางพุทธ คือจะไม่ให้งมงาย การดุหมอก็เปรียบเหมือนเรามีไฟฉายส่องนำทางให้เห็นล่วงหน้า ว่าตรงไหนทางมันขรุขระ มีหลุมมีบ่อ เห็นล่วงหน้าก่อนคนอื่น เราจะได้เตรียมใจและระมัดระวัง ถ้าเป็นหลุมลึกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ การทำบุญจะช่วยกลบหลุมที่ลึกให้ตื้นขึ้น เวลาตกลงไปจะได้ไม่บาดเจ็บมาก และถึงจะไปดูดวงที่ไหนก็ตามอยากให้ดูอย่างมีสติ ชะตาชีวิตเบื้องบนอาจกำหนดมา แต่การมีชีวิตอย่างมีคุณค่าขึ้นอยู่กับปัจจุบันของตัวเราเองที่จะทำมันขึ้นมา
นอกจากดูไพ่ทาโร่ต์แล้ว ยังดูอะไรได้บ้างคะ?
ที่พี่ดูจะมี ไพ่ทาโรต์ ดวงไทยแบบเลข 7 ตัว 4 ฐาน รับเปลียนชื่อ ดูฤกษ์ยาม ฮวงจุ้ย และที่ฮิตตอนนี้คือให้คำปรึกษาเรื่องเลขศาสตร์หรือศาสตร์ของตัวเลขที่มีอิทธิพลในชีวิต ทั้งในเรื่องเลขที่บ้าน เลขทะเบียนรถ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
รู้สึกอย่างไรบ้างคะ ที่ทาง MaBrisbane ติดต่อให้พี่เป็นหมอดูประจำคอลัมน์?
โห ต้องขอขอบคุณมากๆ และรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ค่ะ ตอนที่น้องรี่ติดต่อมาก็ไม่ลังเลใจเลย เพราะเคยเขียนลงหนังสือและรายการโทรทัศน์มาแล้ว แต่จะบอกน้องรี่ว่าพี่จะเขียนสไตล์สนุกๆ เฮ้วๆ ไม่ให้น่าเบื่อนะ ซึ่งฟีดแบคก็ออกมาค่อนข้างดี
สุดท้ายพี่ฉอมมีอะไรอยากฝากไปถึงผู้อ่านทุกท่านไหมคะ?
พี่จะบอกลูกค้าทุกคนว่า ถ้าอยากดูก็มาดู แต่ถ้ากลัวดูแล้วไม่สบายใจก็ไม่ต้องดู จะไม่เซ้าซี้ แต่หลักการของพี่จะเน้นให้ดูแล้วสบายใจกลับไป ถ้าเค้าต้องเผชิญเรื่องหนักๆหรือดูแล้วมีเคราะห์จริงๆ จะแนะให้ทำบุญ นั่งวิปัสสนากรรมฐาน สวดมนต์ ไถ่ชีวิตสัตว์ บริจาคเลือด ซื้อโลงศพ ฯลฯ จะแนะนำไปแล้วแต่เรื่อง บางคนก็ให้หนังสือสวดมนต์กลับไป คติพี่คือ ดูดวงให้สนุก ทุกข์ สุขอยู่ที่ตัวเราทำ กรรมเก่าแก้ให้บาง กรรมใหม่สร้างให้ดี เท่านี้ชีวิตก็จะมีแต่เรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาค่ะ