ถึงเวลาที่จะต้องบอกลา Fraser Island กันแล้ว ในวันสุดท้ายของทริป 3 วัน 2 คืน ของเรา เริ่มด้วยการไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Waddy Point แล้วก็จะเก็บของเพื่อเดินทางมุ่งหน้าลงสู่ทิศใต้ เพื่อไปเล่นน้ำที่ Lake Birrabeen และไปขึ้นเรือกลับบ้านที่ Wanggoolba Creek
อ่านบทความตอนที่ผ่านมา..
- ตอนที่ 1 - Hervey Bay, Lake McKenzie, Dundubara, Milky Way
- ตอนที่ 2 - Maheno Shipwreck, The Cathedrals, Champagne Pools, Waddy Point, Sand Dunes
Fraser Island วันที่สาม - ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Waddy Point, แวะถ่ายรูปที่ Maheno Shipwreck และ Eli Creek, เล่นน้ำที่ Lake Birrabeen, ขึ้นเรือที่ Wanggoolba Creek เพื่อเดินทางกลับบริสเบน
ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งตอนเกือบ 6 โมงเช้า เพื่อไปดูแสงแรกที่ Waddy Point จุดชมวิวแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดตั้งแคมป์ ขับรถผ่าน Sand dunes มาเพียงนิดเดียว ตรงจุดที่เราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนี้ เป็นแหลมที่อยู่ระหว่าง Orchid Beach และ 75 Mile Beach โดยจะต้องไต่เนินเขาขึ้นไป หากมาตอนเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขั้นอาจจะต้องพกไฟฉายไปด้วย แต่เรามากันสายแล้วเลยมองเห็นทางเดินขึ้นไป
สัมผัสแรกเมื่อไปถึงบนเนินเขา เรามองแสงทองของดวงอาทิตย์สาดส่องขึ้นมาจากขอบทะเลอันไกลโพ้น เป็นภาพที่สวยงามอย่างบอกไม่ถูก เรายืนชมวิวรับลมและคลื่นทะเลที่ซัดมากระแทกโขดหินจนฟองลอยล่องอยู่ในอากาศ ตรงริมหน้าผาเป็นจุดที่มองเห็นวิวได้ชัดเจน หากอยากได้ภาพสวย ๆ ของโขดหินอาจจะต้องเดินไปตามทางด้านล่าง ซึ่งมีแนวที่สามารถเดินไปได้แต่ต้องระวังด้วย ช่วงเวลานี้เป็นการทำงานกันอย่างเต็มที่ของช่างภาพทั้งหลาย ขาตั้งกล้องใครไม่เมพพอแทนที่จะได้ภาพเด็ด ๆ จะเป็นภาพเบลอ ๆ ได้ เพราะลมซัดมาจนกล้องสั่นเลยทีเดียว
วิวเบื้องหลัง มองเห็นหาด Orchid Beach
จุดชมวิวที่ Waddy Point
ที่จุด Waddy Point นี้ นอกจากเราจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากฝั่งโขดหินแล้ว ทางด้านหลังก็ยังมองเห็นหาดทรายของ Orchid Beach สวยกันไปคนละแบบ เรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นได้แบบ 360 องศาทีเดียว
หลังจากได้รูปสวย ๆ กันแล้ว เราก็กลับไปทานอาหารเช้าที่แคมป์ พร้อมกับทำเผื่อไว้ห่อเป็นอาหารกลางวันไปด้วยเป็นของทานง่าย ๆ ลูกชิ้นลวก อาหารแห้งที่เหลือเก็บไว้ แล้วก็เก็บสัมภาระออกเดินทางกันต่อ
หากยังพอจำกันได้จากตอนที่ผ่านมา เราขับขึ้นเหนือมาจนเกือบสุดของเกาะ ดังนั้นเที่ยวขากลับเราจึงต้องขับยาวเรียบชายหาด เริ่มตั้งแต่ Waddy Point จนถึง Eurong รวมระยะทางกว่า 70 กม. คิดเป็นเวลาคร่าว ๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง และหากแวะเที่ยวด้วยแล้วก็จะบวกเพิ่มไปอีก ดังนั้นจึงควรตรวจสอบเวลาน้ำขึ้นให้ดี
เราแวะถ่ายรูปแป๊ป ๆ ตรงซากเรือล่ม Maheno ที่เราไปชมกันมาก่อนหน้านี้ และ Eli Creek ซี่งเป็นลำธารที่ใหญ่ทีสุดบนเกาะทางด้านตะวันออกของเฟรเซอร์ ทราบข้อมูลมาว่าน้ำในลำธารแห่งนี้ไหลลงสู่ทะเลกว่า 4 ล้านลิตรทุก ๆ ชั่วโมง เป็นจุดที่นิยมในการเล่นน้ำ อาบแดด และปิกนิก มีทางเดินไปตามลำธารให้เราได้ชมวิวสวย ๆ และสะพานให้เดินข้ามลำธาร ครั้งนี้เราไปเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ทั้งบิกินี่และซิกแพคเต็มหาด เป็นสวรรค์ของตากล้องเราเลยนะฮร้ะ
Maheno Shipwreck
ลำธาร Eli Creek
กินลมชมวิวตลอดชายฝั่งไม่นานมาก ก็มาถึงที่ Eurong เราแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าและทานไอติมกันที่นี่ มองเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่ในบริเวณนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับรีสอร์ท หลังจากนั้นจึงเดินทางกันต่อไปที่จุดหมาย Lake Birrabeen จริง ๆ แล้วเรามีแพลนก่อนหน้านี้ว่าจะไปเดินป่ากัน แต่เวลาไม่เอื้ออำนวยคาดการณ์ว่าไม่ทันขึ้นเรือแน่ ๆ จึงเปลี่ยนไปเล่นน้ำแทน เส้นทางของทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างขับยาก ถนนแคบกว่าปกติเล็กน้อย เนื่องจากมีก้อนหิน กิ่งไม้ และรากไม้ โผล่ออกมาเป็นจุด ๆ ตลอดเส้นทาง จึงได้ความรู้สึกแอดเวนเจอร์ไปอีกแบบ
เมื่อถึงที่หมาย Lake Birrabeen เราก็ไม่รอช้ารีบเดินไปยังทะเลสาบ น้ำใส จริง ๆ แม้ว่าความสวยจะไม่เท่า Lake McKenzie แต่ความใสของน้ำทะเล และความละเอียดของทรายก็ไม่ได้ต่างกันมาก ข้อดีอาจจะอยู่ที่คนไม่พลุกพล่าน เพราะไม่ใช่จุดท่องเที่ยวหลัก เหมือนเป็นชายหาดส่วนตัวไปเลย น้ำค่อนข้างจะเย็นมากถ้ามาในช่วงหน้าหนาว หากเป็นช่วงหน้าร้อนคงสนุกสนานกันมากกว่านี้
ทะเลสาบ Lake Birrabeen
เล่นน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เราก็มุ่งตรงไปที่ท่าเรือ Wanggoolba Creek ควรจะไปถึงท่าเรืออย่างน้อย 20 นาที เพราะเรือเขามาถึงท่าค่อนข้างเร็วกว่าเวลาออกพอสมควร และออกแบบเวลาตรงเป๊ะ บางทีก็ออกก่อนเวลาไป 2-3 นาที แล้วถ้าเรามาไม่ทันเขาก็จะให้คนที่มาถึงก่อนของรอบต่อไปขึ้นแทนที่เราไปเลย
รถส่วนใหญ่จะมารอไม่ต่ำกว่าชั่วโมงกันทั้งนั้น หลายคันที่เครื่องสตาร์ทไม่ติดก็มี ต้องช่วยกันลากบ้าง จั๊มสายสตาร์ทกันบ้าง อาจจะเป็นเพราะใช้ไฟจากแบตฯรถกันบนเกาะเยอะไปหน่อย
เรามาถึงท่าเรือตอนฝนกำลังตกหนักเลย แต่ตกได้ไม่นานนักก็หยุด เดินลงมาจากรถมองเห็นสายรุ้งและแสงแดดยามเย็นสาดส่องลงมา เป็นภาพที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก
ท่าเรือ Wanggoolba Creek, หมาป่าดิงโก้
ระหว่างรอเรือ เราก็หาไรทานกัน เพราะไม่ได้ทานข้าวกันมาตั้งแต่เที่ยง ทั้งลูกชิ้น ปลาหมึกแห้ง ขนมนมเนย ไม่ได้อร่อยกันแค่เรา น้องหมาดิงโก้ก็อยากอร่อยด้วย มากันสองตัวเลย กระเถิบเข้ามาเรื่อย ๆ ตามกลิ่นปลาหมึกแห้งเป็นแน่แท้ พวกเราก็อัดกันเข้ามาเป็นกลุ่มก้อน เขาบอกว่าให้ชูมือขึ้นสูง ๆ ทำตัวให้ดูใหญ่ ๆ แล้วจ้องตามัน แล้วเขาก็จะถอยไปเอง นอกจากจะตื่นเต้นไปกับดิงโก้แล้ว ยังจะต้องมาเต้นฮิพฮอพตบแมลงกันอีกกับเจ้า Sandfly ลักษณะคล้ายยุงแต่ตัวเล็กมากก
พวกเราโดนรุมสกัมกันอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะคนใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อแขนสั้นทั้งหลาย ทั้งฉีดสเปรย์กันแมลงก็แล้ว ใส่เสื้อมิดชิดก็แล้ว ยังมิวายโดยไปตามข้อมือ คอ และหน้า บางคนโดนกัดจะสะดุ้งทันทีบอกว่าเจ็บกว่ายุง บางคนก็เจ็บนิด ๆ ปีศาจน้อยคิดว่ารอดแล้ว กลับมาได้สองวันเท่านั้นแหละ ตุ่มขึ้นบวมเลยฮ่ะ เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้แต่ตุ่มคันมาก พิษของมันช่างร้ายกาจ ดูดเลือดเราไม่พอมันยังเป็นพาหะนำพาไวรัสเข้าสู่ร่างกายเราได้อีกด้วย จากที่ค้นดูข้อมูลหนึ่งในไวรัสที่น่ากลัวคือ Chandipura virus ซึ่งเป็นสายพันธ์เดียวกับพิษสุนัขบ้านะฮะ บรื๊อ กลับมาจากทริปนี้ก็ดูคนข้าง ๆ ด้วยนะว่าน้ำลายเริ่มฟูมปากมั้ย เพราะฉนั้นก็ควรพกสเปรย์กันแมลงแบบที่กัน Sandfly ไปด้วยนะ
เมื่อถึงเวลาเรือข้ามฟากก็มาถึงตอนเวลาประมาณ 5 โมง รอบนี้ตอนเอารถขึ้นไม่โดนไล่ลงรถเหมือนตอนขามา จอดเสร็จเราก็เอนตัวงีบกันในรถ ใครอยากได้จุดจอดดีหน่อยมีหลังคาหลบฝนก็มาเช้า ๆ เรือออกจากท่าได้ไม่นานก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ตก นักท่องเที่ยวแต่ละคนก็ลงจากรถมาดูวิวกัน แม้บรรยากาศจะดูเศร้า ๆ แต่ก็สวยงาม รู้สึกอิ่มเอมใจพร้อมกับปิดทริปอันสวยงามของเราในครั้งนี้
ขับกลับบริสเบนด้วยสภาพรถที่เปรอะเปื้อนเป็นหลักฐานการแอดเวนเจอร์ที่ไม่ต้องบรรยาย ก่อนจะคืนรถเช่าก็ทำการฉีดล้างน้ำรถเอาทรายและคราบออก ภายในรถก็จะดูดฝุ่นหรือแค่สะบัดทรายออกก็ว่ากันไป
เป็นไงกันบ้างฮับทริปแอดเวนเจอร์ตะลุยทราย โต้คลื่น แช่น้ำจืด ที่ Fraser Island ในคราวนี้ สิ่งที่เราเก็บมาเล่าให้ฟังและถ่ายรูปสวย ๆ มาให้ได้ดูนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ความประทับใจเท่านั้น หากเพื่อน ๆ อยากสัมผัสธรรมชาติและชีวิตนักท่องเที่ยวลุย ๆ ก็ต้องไปสัมผัสกันเองนะฮะ ภาพที่เห็นเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้กับการได้ไปสถานที่จริง
..กว่าทริปนี้จะสำเร็จลุล่วงได้ เราต้องมีการเตรียมตัวกันพอสมควร ดังนั้นจึงขอเพิ่มตอนพิเศษในบทความหน้า เป็นเรื่องราวว่าเราเตรียมตัวกันอย่างไรบ้างกับทริปครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางเริ่มต้นสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจ, ขอบคุณค่ะ