ท็อป จรณ กับมุมสงบที่อยู่ในใจ
จากละครเรื่อง “ชาติพยัตฆ์” ที่เพิ่งจบไป ทำให้ชื่อของ “ท็อป จรณ โสรัตน์” เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง อาจเพราะด้วยบุคลิกและรูปร่างหน้าตาที่ดู หล่อเหลา คมเข้ม สไตล์คนไทย ที่ค่อนข้างหาได้ยากกับดาราในปัจจุบันนี้ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ท็อป ก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกในดวงใจของใครหลายๆคนในขณะนี้
วันนี้ทางเราได้รับเกียรติจาก พระเอกท็อป สละเวลามาให้สัมภาษณ์ทั้งเรื่อง หน้าที่การงานและชีวิตในวัยเด็ก รวมทั้งอีกมุมหนึ่งที่ใครหลาย ๆ คนยังไม่รู้ นั่นคือ “การนั่งสมาธิเพื่อทำให้เกิดสมาธิ”
พี่รี่- สวัสดีค่ะ อยากให้ท็อป แนะนำตัวกับเพื่อน ๆ ชาวไทยในออสเตรเลีย ใครหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักท็อป นอกจากการเป็นพระเอกเรื่อง ชาติพยัตฆ์
ท็อป- ถ้าให้เริ่มตั้งแต่เด็ก ๆ เลยก็คือ ผมเป็นคนลพบุรีครับ มีพี่น้องสองคน คือผมกับน้องชาย ผมเรียนจบที่วิศวะลาดกระบัง สาขา Telecommunication ชีวิตในวัยเด็กของผมก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมากครับก็คล้ายกับกับชีวิตวัยรุ่นทั่วไป
พี่รี่- ชื่อ จรณ เพราะดีนะคะ ความหมายแปลว่าอะไรคะ
ท็อป- แปลว่า “ผู้มีความประพฤติดี” ครับ
พี่รี่- ถ้างั้นท็อปก็ห้ามทำอะไรตรงกันข้ามกับชื่อเลยนะ
ท็อป- (หัวเราะ) ก็ประมาณนั้นครับ
พีรี่- แล้วเข้ามาสู่วงการได้ยังไงครับ ลองย้อนกลับให้เราฟังซักนิดหนึ่ง
ท็อป- ก็มีช่วงมัธยมปลาย ผมเข้ามาเรียนพิเศษที่สยาม ตอนนั้นอายุประมาณ 17 ปีนะครับ ก็มีโมเดลลิ่ง เข้ามาติดต่อขอถ่ายรูป อะไรประมาณนั้นน่ะครับ ผมก็คิดว่าดีเหมือนกันเผื่อเราจะได้มีรายได้อะไรเข้ามาในขณะนั้นบ้าง เพราะตอนนั้นก็ยังเรียนหนังสืออยู่จะให้ไปทำงานประจำก็คงจะไม่ได้ ก็เลยลองดูครับ ซึ่งงานตัวแรกที่ผมได้ก็คือ เป็นงานโฆษณาของ พอนด์ ครับ
พี่รี่- ตอนนั้นได้เงินก้อนแรกสำหรับงานถ่ายโฆณณา แล้วเอาเงินไปทำอะไรครับ
ท็อป- ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรครับ เลยเอาไปให้คุณแม่ครับ (หัวเราะ)
พี่รี่- โห เป็นเด็กดีมากเลยอ่ะ ถ้าเป็นวัยรุ่นคนอื่นเค้าอาจเอาไปซี้อเสื้อผ้า หรืออะไรที่เค้าอยากได้ตามประสาวัยรุ่นนะครับ
ท็อป- คือตอนนั้น ทางบ้านก็ให้สตางค์ผมใช้อยู่แล้วน่ะครับ ผมเลยคิดว่า เอาไปให้แม่ดีกว่า เพราะแม่จะได้บริหารเงินให้เราด้วย เวลาเราอยากได้อะไรเราก็ไปบอกท่าน
พี่รี่- แล้วมาเล่นละครได้ยังไง
ท็อป- สาเหตุหลักในตอนนั้นก็คือ พอผมเรียนจบ ผมก็ได้งานในสาขาที่จบมาเลยก็คือ วิศวะ แต่พอผมเข้าไปทำได้ซักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่า “ยังไม่ใช่ตัวผมในขณะนั้น” ซึ่งผมยังต้องการค้นหาตัวเองอยู่ว่าเราต้องการทำอะไรจริงๆที่เรารู้สึกสนุกไปด้วย ไม่ใช่ทำเพราะแค่เราจบมาด้านนี้หรือแค่เรื่องเงิน ผมคิดว่า งานอะไรก็แล้วแต่ถ้าเราทำด้วยใจ เราก็จะรู้สึกรักและสนุกสนานไปกับมัน ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ของงานต้องออกมาดี กว่าการที่เราจำเป็นต้องทำงานนั้นๆนะครับ
พอเรารู้แล้วว่างานนั้นยังไม่ตอบโจทย์ของตัวเรา ผมก็ได้มีโอกาสไปแคสท์งานแสดงที่ช่อง3 และก็ได้รับโอกาสนั้นในการแสดงเป็นพระรอง ในเรื่อง เหนือเมฆ2 ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกของผม
พีรี่- ไปทดสอบหน้ากล้องครั้งแรกแล้วได้เลยเหรอครับ
ท็อป- ไม่ใช่ครับ(หัวเราะ) ผมก็ไปทดสอบหลายครั้งอยู่เหมือนกัน กว่าจะได้รับเลือกให้ไปเล่น
พี่รี่- เรื่องชาติพยัคฆ์ เป็นเรื่องที่เท่าไรครับ
ท็อป- เรื่องที่หกครับ
พีรี่- เรื่องนี้ ท็อปเล่นเป็นพระเอกเป็นเรื่องแรก ท็อปคิดว่า อะไรเป็นปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของเรา (สำหรับเรื่องนี้นะคะ)
ท็อป- เรื่องทีเป็นอุปสรรคในช่วงแรก ๆ เลยก็คือ “รูปร่างครับ” เพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนผอม และในเรื่องนี้ ต้องมีการถอดเสื้อหลายฉากด้วยกัน เพราะต้องเล่นเป็นนักมวยด้วย ซึ่งผมก็ต้องมีการเข้าคอร์สต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อ โดยต้องอยู่ในความควบคุมของผู้ดูแลทั้งในด้านการออกกำลังกายและโภชนาการ ก็จะมีการวิ่ง และก็ต่อยมวย เพราะในเรื่อง ต้องมีต่อยมวยไชยา ซึ่งเป็นมวยโบราณ ก็ใช้เวลาเพื่อให้ร่างกายได้มีกล้ามเนื้อที่เหมาะสม
พี่รี่- แล้วเรื่องต่อไปหลังจากจบเรื่อง ชาติพยัคฆ์ แล้วคือเรื่องอะไรคะ
ท็อป- เรื่อง กุหลาบตัดเพชร ครับ เป็นหนังสไตล์แอคชั่น
พี่รี่- อดทานอาหารอร่อย ๆ อีกแล้วซิ
ท็อป- ยังทานได้ครับ แต่ก็ต้องระวังนิดหนึ่ง (หัวเราะ)
พี่รี่- ลืมถามว่า ตอนที่เล่นเรื่องชาติพยัตฆ์ รู้สึกเกร็งบ้างไหมที่ต้องเล่นกับเหล่าดารานักแสดงที่เป็นผู้ใหญ่และเก่ง ๆ หลายท่าน
ท็อป- เกร็งมากครับ แต่พี่ ๆ นักแสดงทุกท่านรวมทั้งทีมงาน ก็เข้าใจและก็น่ารักกันทั้งกองถ่าย ผมก็จะพยายามระวังตัวมากที่สุดก็ในเรื่องของ เวลา เพราะการถ่ายละครเราต้องมาตรงเวลา เพราะละครไม่ได้ถ่ายเราเพียงคนเดียว ส่วนเรื่องอื่นเราก็เป็นตัวของตัวเองครับ พยายามจำบทให้ได้ เพราะนักแสดงแต่ละท่านที่มา ก็มีการเตรียมตัวกันมาอย่างดีเช่นกัน
พี่รี่- พี่ทราบมาว่า ท็อป เป็นคนที่นั่งสมาธิเก่งมาก มันเริ่มมาได้ยังไง
ท็อป- โอ๊ย จริง ๆ ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่า ผมเคยบวชตอนอายุ22 และวัดที่ผมไปบวชก็ค่อนข้างเข้มในเรื่องการนั่งสมาธิ ตอนบวชจะนั่งวันละ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งผมค้นพบว่า เมื่อกายเราสงบก็ทำให้ใจเราสงบไปด้วย หลังจากทีสึกมาแล้ว ผมก็ยังคงนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้นั่งนาน ๆ เหมือนเมื่อก่อน เพราะสาเหตุหลักในชีวิตประจำวัน ซึ่งในการถ่ายละครเราจะมีงานทั้งเจ็ดวัน ผมก็จะใช้เวลาในกองถ่ายที่เราต้องรอคิวบ้าง หรือถ้ากลับบ้านแล้วไม่ได้เหนื่อยมากจนเกินไป ก็จะนั่งสมาธิเพื่อเป็นการเรียกพลังและฟื้นฟูพลังงานด้านบวกให้กับตัวเองครับ
พี่รี่- การนั่งสมาธิ ช่วยท็อปในเรื่องการแสดงอย่างไรบ้าง
ท็อป- มีส่วนช่วยมากเลยครับ เพราะถ้าเราสมาธิดี ความสามารถในการจำบทที่เราจะเล่นก็ดีตามไปด้วย ผมเชื่อว่าธรรมะกับการแสดงค่อนข้างเกี่ยวโยงกันพอสมควร เพราะถ้าเราเข้าใจในหลักธรรมและใช้หลักการสมาธิเข้ามาเป็นส่วนเสริม ก็จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจในธรรมชาติและอารมย์ ของตัวแสดงที่เราจะเล่นนั้นได้ ทำให้การแสดงออกมาดีครับ ที่สำคัญการกำหนดจิตจะทำให้เราได้บุญไปด้วยครับ จิตเราเป็นสมาธิ เราก็จะไม่วอกแวกกับสิ่งยั่วยุ ยั่วยวนรอบข้าง ไม่ใช่แค่ในเรื่องการแสดงที่สมาธิสามารถช่วยเราได้ แต่สมาธิยังช่วยปกป้องเราจากความสับสนจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวในปัจจุบัน ทำให้ทำอะไรอย่างมีสติและรู้เท่าทันในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งบางสถานการณ์เราก็ควบคุมได้ บางสถานการณ์เราก็ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ “ตัวเอง” ครับ
พี่รี่- โห นึกว่าฟังพระเทศน์เลย (หัวเราะ) พูดได้เห็นภาพอ่ะ แล้วท็อปมีข้อแนะนำอย่างไรให้กับคนที่พยายามนั่งสมาธิ แต่จิตไม่นิ่ง คิดโน่นนี่เรื่อยเปื่อยอยู่ตลอดเวลาบ้าง ใช้หลักการของท็อปนั่นล่ะ
ท็อป- สำหรับข้อแนะนำของตัวผมเองก็คือ อย่าไปตั้งหรือสร้างอะไรมากมายให้กับตัวเรา อย่าไปตั้งเวลาว่าเราต้องนั่งให้ได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ที่สำคัญคือ ต้องเรียนรู้ในการกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็น ถ้าที่คนนิยมกัน อาจจะท่อง พุธ โธ ในการกำหนดลมหายใจ อย่าไปบังคับตัวเองให้ไม่คิด เพราะถ้ายิ่งบังคับจะยิ่งคิด พยายามฝึกนั่งไปที่ละนิด อาจจะแค่หนึ่งนาทีก่อนก็ได้ครับ เพราะการนั่งสมาธิจะทำให้จิตใจเราสงบ เมื่อจิตสงบเราก็พร้อมที่จะออกไปเผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้
พี่รี่- ตอนนี้ท็อปค่อนข้างเป็นที่รู้จักแล้ว มีวิธียังไงในการรับมือกับบรรดาแฟนคลับที่บางคนเค้าก็อยากมาขอถ่ายรูปกับเรา แต่ในช่วงเวลานั้นเราอาจจะนั่งทานข้าวอยู่หรือกำลังอยู่ในช่วงที่เกิดภาวะตึงเครียด เช่น อาจจะกำลังทะเลาะกับใครมา เป็นต้น
ท็อป- ส่วนใหญ่ผมก็ยังยึดถือในเรื่องของการรักษามารยาทและรักษาน้ำใจซึ่งกันและกันครับ เพราะในวันที่เราตัดสินใจที่จะเป็นคนของประชาชน (พูดเหมือนนักการเมืองเนอะพี่ หัวเราะ) คือในการเป็นนักแสดงเป็นดารา เราจะอยู่ในอาชีพนี้ได้ก็เพราะประชาชน ดังนั้นแล้วต้องตัดความกังวลอะไรต่างๆก่อนหน้านั้นออกไป และทำหน้าที่นักแสดงที่ประชาชนเค้าชื่นชมเราให้ดีที่สุด ถ้าในเรื่องการขอถ่ายรูปผมจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเลย เพราะจะเป็นการพบปะทักทายกันในช่วงเวลาสั้นๆกับเค้า แต่ผมรู้ว่าเค้าจะเก็บความประทับใจหรือความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กับเราไปอีกนาน แต่ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งมาถ่ายรูปตอนเวลาที่ผมทานข้าว เพราะบางครั้งผมหิวมากครับ(หัวเราะ)
พี่รี่- มีด้วยเหรอ มาขอถ่ายรูปตอนเราทานข้าว
ท็อป- ก็มีบ้างครับแต่ไม่บ่อย คือไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะบางทีเราต้องทำเวลาเราอาจจะกำลังมีนัดอยู่ พอเวลาคนแรกมาขอถ่ายรูปก็จะมีคนที่สอง สาม สี่ ตามมาเป็นต้นนะครับ คือยังไงก็ดี ผมยินดีให้ถ่ายรูปด้วยครับแต่ขอทานข้าวก่อน เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอท้องเราอิ่มแล้วอารมย์ก็จะดี ยิ้มก็จะสวยนะครับ (หัวเราะ)
พี่รี่- ที่นี้มาพูดถึงอนาคต ถ้าเราไม่ได้ทำอาชีพนักแสดงแล้ว ท็อปอยากทำอะไร
ท็อป- ตอนนี้ผมก็เริ่มสร้างธุรกิจเป็นของตัวเองบ้างแล้วครับ ก็คือการนำเข้าแว่นตาแฟชั่นสตรี จากประเทศฝรั่งเศส ชื่อ Nathaliefordeyn โดยทำร่วมกันทำกับผู้จัดการส่วนตัวของผมเองครับ สาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มธุรกิจตัวนี้ก็คือ ตอนที่ผมไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศสก็ได้มีโอกาสได้รู้จักกับเจ้าของแบรนด์คือคุณนาตาลี ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-เบลเยี่ยมที่อาศัยอยู่ที่นั่น และตอนนี้ผมก็เริ่มขายผ่านทางช่อง Instagram แล้วครับ ก็ยังเพิ่งจะเริ่ม ๆ นำเข้ามายังไม่ได้ทำการตลาดอะไรมากครับ
แต่ถ้าในอนาคตก็อยากจะเปิดร้านอาหาร เพราะเป็นคนชอบทานอาหารครับ
พี่รี่- แล้วท็อปมีอะไรที่อยากแนะนำน้อง ๆ ที่อยากจะเข้าวงการนี้บ้างไหมคะ เพราะเดี๋ยวนี้อาชีพนักแสดงเป็นที่ยอมรับมาก ๆ
ท็อป- ผมคิดว่าน้อง ๆ ในสมัยนี้โชคดีมาก ๆ ที่มีหลาย ๆ สถาบันรับสอนในเรื่องของการแสดง ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจด่านแรกให้น้อง ๆ รุ่นใหม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความรับผิดชอบและระเบียบวินัย โดยเฉพาะในเรื่องของเวลา อย่าให้ผู้ใหญ่หรือคนในกองถ่ายรอเรา และควรจะเป็นคนที่มีจุดมุ่งหมายในตัวเอง แล้วสิ่งดี ๆ ในชีวิตจะตามมาครับ ขอบคุณครับ
พีรี่- ก็ขอบคุณน้องท็อปมาก ๆ นะคะ ที่ให้โอกาสสื่อของคนไทยในประเทศออสเตรเลีย เวปไซต์ Mabrisbane และหนังสือ Roommate magazine ได้มีโอกาสทำความรู้จักน้องมากขึ้นและพวกเราจะเป็นกำลังใจให้น้องค่ะ