สมัยผมมาออสเตรเลียใหม่ ๆ ผมมาแบบไม่รู้จักใครมาก่อน ดังนั้นไม่ว่าอะไรทุกอย่างผมจะทำด้วยตัวของผมเองคนเดียว ในตอนนั้นผมว่ามันสะดวกดี ไม่รู้สึกว่าต้องมีเพื่อนก็สามารถลุยโลกกว้างไปด้วยตัวเองได้ ตอนนั้นผมยังอยู่ในวัยบ้าพลัง ผมเลยเริ่มต้นตะลุยเมืองนอกด้วยการหางานทำด้วยตัวเอง เวลาหางานนอกจากหางานในเว็บไซต์แล้ว ผมก็เหมือนกับทุกคนแหล่ะครับที่ต้องปรินท์เรซูเม่แล้วเดินหย่อนตามร้านต่าง ๆ เพื่อสมัครงาน งานแรกที่ได้คืองานร้านอาหารไทยร้านนึงที่ซ่อนอยู่บนภูเขาอันห่างไกล นั่งรถไฟไปชั่วโมงกว่า ๆ เพื่อที่จะไปทำงานในตอนเช้า แต่ด้วยความที่ร้านอยู่ไกล เจ้าของร้านเลยเสนอให้ผมนอนค้างที่ร้านได้ ผมได้ยินแล้วคิดว่าคุ้มมาก เลยตัดสินใจตกลงในทันที
คืนนั้นผมนอนที่ร้านเป็นคืนแรก ถูกปลุกให้ตื่นตอนเจ็ดโมงเช้าให้ไปช่วยคุณพี่แม่ครัวซื้อผักเข้าร้าน ซื้อผักเสร็จเราก็มาหั่นผักเตรียมของกัน ตอนบ่ายไม่มีลูกค้าก็มาห่อกระหรี่ปั๊บ ปอเปี๊ยะ ตอนเย็นก็เปิดร้าน ทำงานจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง ทำอยู่อย่างนี้มา 4วัน โดยไม่ได้คุยกับเจ้าของร้านเรื่องเงินเลย เพราะผมเกรงใจ
วันนึงโทรศัพท์ผมโทรออกไม่ได้ ผมเลยรวบรวมความกล้าเข้าไปคุยกับเจ้าของร้าน เพื่อที่จะขอเบิกเงินไปซื้อบัตรเติมเงิน เจ้าของร้านก็ให้เงินมาอย่างง่ายดาย ผมเลยลองถามเรื่องค่าแรง เพราะอยากรู้ว่าผมจะได้เงินเท่าไหร่ พี่เจ้าของร้านก็เลยบอกว่าร้านเค้าเพิ่งเปิด อะไร ๆ ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ดังนั้น ถ้าผมเริ่มงานเจ็ดโมงเช้า ทำจนถึงปิดร้านสี่ทุ่มครึ่ง และนอนที่นี่ เค้าจะขอจ่ายผมแบบเหมาจ่ายวันละ 30 ดอลก็แล้วกันนะ ผมก็อึ้งเลยครับ!! อึ้งเพราะในหัวผมกำลังตีเป็นเงินไทย โดยเอา 30 ไปคูณ (ตอนนั้น 1 ดอลล่า ประมาณ 30 บาท) นี่แสดงว่าผมกำลังจะได้เงิน 900 บาทต่อวันเลยนะเนี่ย แถมไม่ต้องจ่ายค่าบ้านอีก กินก็กินฟรี โอ้ย คุ้มสุดคุ้ม ผมคิดแล้วตอบเจ้าของร้านไปด้วยความดีใจว่าขอบคุณครับพี่ ผมชอบมากครับ ตกลงเลยครับ ในตอนนั้นผมเห็นเจ้าของร้านทำหน้าอึ้งแทนผม เค้าคงดีใจกับผมมั้งที่ผมได้งาน
วันนึงผมเข้าเมืองไปเจอเพื่อน ๆ กำลังจับกลุ่มคุยเรื่องงานกัน มีใครซักคนนึงเรียกผมเข้าไปร่วมวงด้วย พอผมเข้าไปถึงก็เห็นเพื่อนคนนึงกำลังระบายความทุกข์จากการทำงานว่า ทำงานร้านไทยได้เงินน้อยมาก งานก็หนัก เพื่อนร่วมงานก็มีแต่คนโหด ๆ อยากเปลี่ยนงานใหม่แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนจะจ่ายเยอะ ๆ ได้บ้าง ผมเลยพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า ผมเพิ่งได้งานที่ร้านอาหารไทยและได้เงินเยอะมาก ๆ เจ้าของร้านใจดีให้กินข้าวด้วย ผมเลยจะชวนเพื่อนคนนี้ให้ไปทำด้วยกัน เพื่อนคนนี้ทำตาโตดีใจที่ชีวิตเริ่มมีความหวัง ทุกคนเริ่มถามผมว่าทำงานกี่โมงถึงกี่โมง ได้เงินเท่าไหร่ ผมลุกขึ้นยืนและตอบด้วยความมั่นใจ “เราทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงสี่ทุ่มครึ่ง ได้เงินตั้ง 30 ดอลเลยนะเว้ย”
“30 ดอลแล้วนายดีใจได้ไงวะ บ้าป่าวเนี่ย เราทำได้ชิพละ 50 วันนึงทำ 2 ชิพเช้าเย็นได้แค่ 100 ดอล เรายังเครียดเลยเนี่ย” เพื่อนที่นั่งเซ็งพูดสวนขึ้นมา
พอผมได้ยินว่าเพื่อนคนนี้ทำงานได้วันละ 100 ดอลผมก็ร้อง เฮ้ย! คิดไปเลยทันทีว่ามันโม้ มีอย่างที่ไหนใครจะทำงานได้เงินเยอะขนาดนี้ เนี่ยผมทำงานทั้งวันได้ตั้ง 30 ดอลก็เยอะที่สุดแล้ว เรื่องอย่างงี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน แล้วเพื่อน ๆ ทุกคนก็พากันรุมบอกผมว่าแต่ละคนมันทำงานได้เงินกันเท่าไหร่ บางคนได้ชิพละ 60 ดอล บางคนทำงานทำความสะอาดออฟฟิศได้เงินเป็นรายชั่วโมงก็มี บางคนทำกาแฟได้วันละ 200 แล้วก็มีคนนึงลงทุนเข้าเน็ตเปิดให้ดูบัญชีธนาคารว่าในแต่ละวีคเค้าได้รับเงินเท่าไหร่ ด้วยความห่วงใยของเพื่อน ๆ ทุกคนยืนยันว่าให้ผมลาออกจากที่นี่ ในตอนนั้นผมยอมรับว่าลึก ๆ ผมเริ่มหวั่นไหว หลังจากแยกย้าย ผมผ่านร้านไทยร้านนึง ผมตัดสินใจเดินเข้าไปถามเด็กเสิร์ฟว่าร้านนี้เค้าจ่ายเงินกันยังไง น้องเด็กเสิร์ฟบอกว่าจ่ายปกติแหล่ะค่ะ ชิพละ 60 ดอล ผมร้องโอ้ยย น้องเด็กเสิร์ฟถามว่าพี่เป็นไรคะ? คืนนั้นผมกลับไปที่ร้าน และเรียกเจ้าของร้านลงมาคุย ผมตั้งเป้าไว้ว่าการเจรจาครั้งนี้ผมจะต้องได้รับเงินตามมาตรฐานอย่างน้อยก็ขั้นต่ำชิพละ 55 ดอลให้ได้ ถ้าไม่สำเร็จผมจะลาออก พอผมเจอพี่เจ้าของร้าน ผมเลยเดินตรงเข้าไปหา
“พี่ครับผมอยากคุยเรื่องเงินครับ” ผมเริ่มยิงคำถาม
“ทำไมวะ พี่ให้เงินเอ็งเยอะไปหรอวะ 555” เจ้าของร้านถามกลับพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “เปล่าครับพี่ วันนี้ผมเข้าเมืองไปเจอเพื่อนมา แต่ละคนมันทำงานร้านอาหารไทยได้วันละร้อยอัพทั้งนั้นเลยครับ ผมเลยคิดว่ามันมีอะไรแปลก ๆ ไม่มีใครได้ 30 ดอลเหมือนผมเลยครับ”
เจ้าของร้านกอดอก นิ่ง ทำเสียงเข้ม “แต่ละร้านมันไม่เหมือนกัน ทุกที่มีดีมีเสียหมด ไอ้พวกนั้นมันอยู่บ้านฟรีกินฟรีเหมือนเอ็งรึเปล่า อีกอย่างเอ็งมานี่เอ็งทำอะไรเป็นบ้าง มาใหม่ ๆ หั่นผักยังไม่เป็นเลย เอ็งจะกล้าไปเรียกเงินเยอะ ๆ ได้ยังไง เอ็งไม่อายรึไง ฝีมือแค่นี้ไปสมัครงานที่ไหนเค้าก็ไม่รับหรอก” เจ้าของร้านอธิบายยาว ผมฟังแล้วคิดไตร่ตรอง อืมม มันก็จริงของพี่เจ้าของร้านนะ แต่มันไม่ถูกต้องทั้งหมด ผมเลยยกมือไหว้ขอบคุณพี่เจ้าของร้านที่ดูแลกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พร้อมกับบอกพี่เค้าว่าจากนี้ไปผมขอออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง พี่เจ้าของร้านอึ้ง แต่ก็เข้าใจ นับว่าเป็นการจากลากันด้วยดี
หลังจากนั้น เพื่อน ๆ ก็ช่วยหางานให้ผม แล้วผมก็ได้มีชีวิตปกติ มีรายได้แบบปกติเหมือนกับทุก ๆ คนซะที จากเรื่องราวนี้ทำให้ผมได้รู้ว่า เราจะลุยโลกกว้างด้วยตัวคนเดียวก็ได้ แต่มันไม่สามารถทำให้เรามองโลกได้รอบด้านในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะกว่าเราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เราอาจถูกหลอกให้เดินหลงทางไปไกลจนกู่ไม่กลับเลยก็ได้ครับ วิธีที่ดีที่สุดคือการที่เราได้มีเพื่อนหรือใครซักคนเคียงข้าง นอกจากเค้าจะช่วยแชร์ประสบการณ์และบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เรายังไม่เคยรู้แล้ว เราก็ยังได้ช่วยเค้าในเวลาที่เค้าลำบากด้วยครับ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะหาเพื่อนและงานดี ๆ ได้ที่ไหน ก็เข้ามาที่ mabrisbane.com ได้เลยครับ เพียงแค่คุณคลิกเข้ามาปุ๊บ คุณก็เป็นเพื่อนของเราในทันทีเลยล่ะครับ รับรองว่าเข้าที่นี่ที่เดียว ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในออสเตรเลียแบบครบครันเลยครับ โย่วๆ
ปล. เพื่อนกันช่วยกันมันส์จังเลย ^^