ข้อดีของการมาอยู่ออสเตรเลียคือเราจะได้พบกับผู้คนมากมาย ซึ่งผมว่าถ้าผมยังอยู่เมืองไทย ผมคงคงไม่มีโอกาสได้เจอตัวเป็นแน่ คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ผมรู้สึกว่าพวกเค้ามีโปรไฟล์ที่ไม่ธรรมดา แต่บางคนพอผมได้พูดคุยกับเค้าจริงๆจังๆ ที่ชีวิตเค้าไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น เพียงแต่ใช้จินตนาการมาสร้างเรื่องราวให้คนอื่นเชื่อว่าตัวเองเป็นแบบนั้น ถึงยังไงคนที่นี่เค้าก็ไม่สนใจหรอกครับว่าเราเป็นยังไง เพราะต่างคนต่างก็ต้องทำมาหากิน มันเลยเป็นช่องทางให้คนเพี้ยน ๆ ได้สานต่อจินตนาการของตัวเองได้อย่างสุดเหวี่ยง
ผมเคยไปสมัครงานจูงม้าแคระ(ม้าโพนี่)ในตลาดนัดครับ หน้าที่คือจูงม้าเดินวนรอบสนามโดยให้เด็ก ๆ ขี่หลัง วันที่ผมไป มีคนมาสมัครทั้งหมด 3 คนรวมผมด้วย เริ่มต้นเจ้าของม้าถามว่าทุกคนว่าเคยทำอะไรมาบ้าง และอะไรที่ทำให้คุณคิดว่าคุณเหมาะกับงานนี้ ผมบอกว่าผมเคยล้างจานหั่นผัก ผมคิดว่าผมเหมาะกับงานนี้เพราะผมรักสัตว์ คนที่ 2 ทำงานร้านอาหารไทย คนสุดท้ายคนที่ 3 บอกว่าบ้านเค้าอยู่สุพรรณบุรี ที่บ้านมีฟาร์มม้า ผมกับคนที่สองยืนอ้าปากค้าง นึกในใจอะไรว่ะเนี่ย คนนี้น่ากลัวหว่ะ
จากนั้นเจ้าของม้าก็ให้ทุกคนทดลองจูงม้าเดินรอบสนามครับ สนามที่ว่าเป็นสนามเด็กเล่นในโรงเรียนอนุบาล ซึ่งก็ไม่กว้างเท่าไหร่ เจ้าของม้าโชว์วิธีการจับเชือกและดึงม้า พร้อมกับบอกเคล็ดลับในการสั่งม้าให้เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ในขณะที่อธิบายก็กำชับอย่างแน่นหนาครับว่า ถ้าเป็นผู้ชาย พยายามอย่าไปยืนใกล้ปากม้า
พูดจบก็ยื่นเชือกให้ผมลองจูงม้าเป็นคนแรก ผมจับเชือกด้วยความไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ดีที่ม้าแคระตัวเล็กขนาดกำลังน่ารัก ความสูงของมันอยู่ในระดับเอวของผมเท่านั้น ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลุกไปยืนลูบหัวม้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับมัน ทันใดนั้น ม้าก็อ้าปากพุ่งจะงับเป้ากางเกงผมด้วยความเร็วสูง แต่ที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นก็คือ ผมสามารถเด้งเป้ากางเกงหลบรัศมีปากม้าไปได้ด้วยความเร็วสูงเช่นกัน!! คือทุกอย่างเกิดมันเร็วมากเป็นหลักมิลลิวินาทีเลยครับ ผมได้ยินเสียงฟันของม้ากระทบกันดังกึ้บ เจ้าของม้าร้องเสียงหลง “ผมบอกคุณแล้ว ว่าอย่าไปยืนใกล้ปากม้า” เจ้าของม้าอธิบายว่า เป้ากางเกงของผู้ชายจะแผ่รัศมีความร้อนไปรบกวนม้าแคระ ซึ่งม้าก็ไม่รู้จะทำไงดี ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาของม้ามีทางเดียวเท่านั้นคือการ “กัด” อูยยย~ ม้าอะไรเนี่ยน่ากลัวชะมัดเลย
ผมกับคนที่ 2 จูงม้าผ่านได้ด้วยดี ม้ามีหยุดเดินระหว่างทางบ้าง แต่ก็สามารถพามันกลับมายังจุดเริ่มต้นได้ พอถึงคิวคนที่ 3 ที่บอกว่าที่บ้านทำฟาร์มม้า ผมกับคนที่ 2 ก็นั่งลุ้นด้วยใจระทึก ปรากฎว่าคนที่ 3 จับเชือกไม่เหมือนกับที่เจ้าของม้าแคระได้สาธิตให้ดูครับ ม้าไม่ยอมเดิน เค้ากระชากคอม้าอย่างแรง พร้อมกับร้องเฮ้ยๆ เดินสิวะเฮ้ย ๆ สักพักม้าก็หมอบลงแล้วหลับ เจ้าของม้าต้องเดินไปเอาม้าตัวใหม่มาให้ คนที่ 3 ก็กระชากม้าแรง ๆ อีก แต่ม้าตัวนี้ก็เดิน ๆ หยุด ๆ ตลอดทาง สุดท้ายคนที่ 3 ก็ถอดใจ เดินมาบอกเจ้าของม้าว่าไม่ทำแล้วงานนี้ ขอบายละกัน
แล้วผมกับคนที่ 2 เลยได้งานไปแบบงง ๆ ฮ่า ๆ ๆ ด้วยความสงสัยผมเลยถามคนที่ 3 “เป็นเจ้าของฟาร์มม้าที่สุพรรณทำไมจูงม้าไม่เป็นวะ” คนที่ 3 : “อ๋อ เราเคยจูงแต่ม้าใหญ่จนชิน ม้าเล็ก ๆ มันกิ๊กก๊อกไร้สาระ ฟาร์มเราไม่เอามาเลี้ยงหรอก เราเลยจูงม้าเล็ก ๆ แบบนี้ไม่เป็น”
พอได้ฟังคำตอบพวกเราก็หัวเราะกันเสียงดัง จนในที่สุดคนที่ 3 ก็ยอมเฉลย “จริง ๆ แล้วบ้านเราไม่ได้ทำฟาร์มม้าหรอก และบ้านเราก็ไม่ได้อยู่สุพรรณด้วย เมื่อคืนก่อนนอนเราเปิดยูทูปดูม้า ดูวิธีจูงม้า เราค้นดูแต่ม้าใหญ่ แล้วเราก็ซ้อมท่ามาอย่างดีเลยนะ แต่เราไม่คิดว่าเราจะมาเจอม้าแคระแบบนี้ พอมาเจอเราเลยเซ็งเพราะมันไม่เป็นอย่างที่เราคิดไว้ เลยตัดสินใจยกงานนี้ให้นายสองคนดีกว่า”
พวกผมงงว่ามันมีคนอย่างงี้ด้วยหรอเนี่ย
“มันก็แค่เทคนิคการเอาตัวรอดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเองแหล่ะ ตอนจูงม้านะเรารู้เลยว่าเราไม่เหมาะกับงานนี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะอำพวกนายต่อไปทำไม แต่เราแค่อยากจะบอกนายว่ายูทูปช่วยนายได้เยอะกว่าที่นายคิดนะ ถ้านายใช้มันเป็น”
“แต่ถ้าเมื่อคืนเราเสิร์ชคำว่าม้าโพนี่ในยูทูปนะ เรามั่นใจได้เลยว่าเราได้งานนี้แน่นอน”
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้อีกเลยครับ แต่ผมยอมรับว่าเทคนิคการเตรียมตัวสมัครงานด้วยการเสิร์ชดูยูทูปก่อนเข้าไปเจอของจริง มันใช้ได้ผลมาก ๆ จริง ๆ ครับ ไม่ว่าจะหั่นผัก ทำซุป หรือล้างเครื่องทำกาแฟ ฯลฯ มันมีให้ดูวิธีทำหมดทุกอย่างเลยครับ ดูไปก็จดไปแล้วก็ซ้อมทำท่าหน้ากระจกไปให้คล่อง ๆ พอไปเจอของจริงเราก็จะไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ครับ
ต้องขอบคุณเทคนิคนี้จากเจ้าของฟาร์มม้ายูทูปจริงๆครับ 5555