เปลือยเท้าเข้าวัด....... ตอน2
ผู้เขียนและครอบครัวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ตีสาม รีบจับแท๊กซี่ไปสนามบินดอนเมืองให้ทันเวลานัดของหัวหน้าทัวร์ หนุ่มโก้ ปิติภัทร คือเวลา 04.00 น. ให้คณะพร้อมกันที่ เคาท์เตอร์สายการบินนกแอร์ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขาออก เช็คอินเสร็จ นั่งรอเครื่อง ได้เวลา 06.30 น. เครื่องนกแอร์ เที่ยวบิน DD 423 ก็ทะยานขึ้นท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่กรุงย่างกุ้ง เวลา 07.15 น. (ของพม่า) คณะเราก็เดินทางถึงสนามบินมิงกาลาดง กรุงย่างกุ้ง เวลาที่เราใช้เดินทางจริงจากกรุงเทพถึงกรุงย่างกุ้ง คือ 1 ชั่วโมงกับ 15 นาที แต่เวลาในประเทศพม่านั้นช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที
ที่ประตูทางออกมีหม่องน้อยหน้าใส ไกด์ท้องถิ่น หน้าตาหล่อกว่ามาริโอซะอีก พูดไทยได้ดีมาก ๆ เพราะเป็นไทยใหญ่และศึกษาภาษาไทยในมหาวิทยาลัยมาคอยต้อนรับ ได้มักคุเทศน์คอยดูแลพวกเราเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เขาแนะนำตัวกับลูกทัวร์ทุกคนว่า เขาชื่อ ไซโซมินตู หรือจะเรียกเขาง่าย ๆ ว่า น้องแชมป์ก็ได้ เราออกเดินทางโดยรถบัสติดแอร์เย็นเฉียบมุ่งหน้าไปเมืองหงสาวดีทันที คนมอญเรียกว่า หันสาวดีหรือ เมืองพะโค ชาวอังกฤษเขียนว่า Bago ซึ่งในอดีตเป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรมอญโบราณที่ยิ่งใหญ่และอายุมากกว่า 400 ปี อยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้ง (ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง 45 นาที ก็ถึงเมืองหงสาวดี
ไม่มีการพักเลย เริ่มตะลุยเที่ยวกันให้จุใจ จุดท่องเที่ยวจุดแรกก็คือ ไปนมัสการ เจดีย์ไจ๊ปุ่น (Kyaik Pun Buddha) ไจ๊ หมายถึง พระ หรือ เจดีย์ ปุ่น คือ 4 ดังนั้น พระเจดีย์ไจ๊ปุ่น ก็คือ พระเจดีย์ที่มีพระ 4 ทิศ ตามประวัติเดิมมีอยู่ว่า เจดีย์นี้ถูกสร้างในปี ค.ศ 1476 รอบองค์เจดีย์มีพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยโดยรอบทั้ง 4 ทิศ สูง 30 เมตร ประกอบด้วย องค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ) กับพระพุทธเจ้าในอดีต สามพระองค์คือ พุทธเจ้าโกนาคมโน ทางทิศใต้ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ทางทิศตะวันออก พระพุทธเจ้ามหากัสสปะ ในทิศตะวันตก ตามลำดับ เล่ากันว่าสร้างขึ้นโดยพระราชธิดาสี่พี่น้องของพระเจ้าหงสาวดี ที่มีพุทธศรัทธาสูงส่งและต่างให้สัตย์สาบานว่าจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ชั่วชีวิต ต่อมาพระธิดาองค์สุดท้องผิดคำสาบาน เข้าพิธีอภิเษกสมรส ร่ำลือกันว่าทำให้พระพุทธรูปองค์นั้นเกิดรอยร้าวพังทลายลงมาทันที
0
ระหว่างทำ "ประทักษิณ" ด้วยการเดินเวียนขวา 3 รอบ รอบพระเจดีย์นั้นไกด์ก็ตั้งคำถามกับลูกทัวร์ว่าพระพุทธรูปองค์ใดที่พังลงและสร้างขึ้นมาใหม่ ต้องไปดูเองแล้วครับงานนี้ บอกใบ้ให้ว่า เพราะสร้างขึ้นใหม่ พระพุทธรูปองค์นี้พระพักตร์จะยาวและหวานตามลักษณะของพระพุทธรูปมอญมากกว่าองค์อื่น ๆ รวมทั้งห่มจีวรมีริ้วพริ้ว ปลายสังฆาฏิเป็นริ้วระบายอ่อนช้อยกว่าซ้อนทับกันลงมาต่างจากองค์อื่น ๆ แต่ต้องสังเกตให้ดี ๆ ถึงตอนนี้พวกเราก็รับรู้และได้เรียนประเพณีใหม่ ๆ กัน คือ พอเดินเข้าประตูเขตวัดก็เป็นอันว่าเดินเท้าเปล่ากันได้เลย ถุงเท้า ถุงน่องก็ไม่ให้ใส่ โดยส่วนใหญ่ไกด์ทัวร์จะบอกให้ทิ้งรองเท้าหลุยส์ วิตตองเอาไว้บนรถกันรองเท้าหาย พอเดินสำรวจและนมัสการเสร็จ ได้เวลาเดินขึ้นรถไกด์ก็จะแจกผ้าเย็นให้คนละผืน เอาไว้ให้เช็ดเท้าทำความสะอาด แต่ส่วนใหญ่จะเช็ดหน้าลำคอแขนขาก่อนจะเอาไปเช็ดเท้า อย่าไปเผลอทำกลับกันล่ะ
จุดต่อไปที่จะต้องรีบไปให้ถึงก่อนเพล คือ วัดไจ๊คะวาย (Kyakhat wine monastery) อยู่ในเมืองหงสาวดี เช่นกัน วัดไจ้คะวาย ไม่ใช่วัดที่มีชื่อในเรื่องของเจดีย์หรือพระพุทธรูปองค์โตสูงใหญ่ แต่มีชื่อเสียงเพราะเป็นโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนาอันโด่งดังของพม่า มีคนส่งลูกหลานมาบวชเรียนธรรมะที่นี่กันเป็นจำนวนมาก กว่า 500 รูป โดยพระและเณรที่มาศึกษาจะต้องอยู่ประจำที่นี่ไม่ต่างกับเป็นโรงเรียนกินนอน จึงเป็นวัดเดียวที่จะได้พบพระสงฆ์จำนวนมาก และมีคนนิยมทำบุญใส่บาตรพระหมู่กันเป็นประจำ การใส่บาตรจะเริ่มในช่วงเวลาก่อน 11.00 น. เหมือนเมืองไทย จะได้ยินเสียงตีระฆัง มีพระและเณรพม่าจำนวนมากเดินเรียงแถวอย่างมีระเบียบนำโดยเจ้าอาวาสออกมาจากทางด้านหลังอาคารกุฏิที่พัก เพื่อรับบิณฑบาตรโดยใช้บาตรที่ทำจากไม้ไผ่สานลงรักสีดำสนิท จากนั้นพระจะเข้าไปในหอฉัน ที่สามารถจุพระภิกษุได้เป็นจำนวนหลายร้อยรูป
เมื่อพระเดินเข้ามาแล้วก็จะนั่งพื้นล้อมวงเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มมีโต๊ะกลมที่จัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว พอได้เวลาเจ้าอาวาสก็จะนำสวด จากนั้นก็ฉันพร้อม ๆ กัน ถือเป็นขั้นตอนที่ดูเรียบง่ายสำหรับวัดที่มีพระจำนวนหลายร้อยรูป สิ่งของที่คนไทยนำมาถวายพระในวันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวของเครื่องใช้เพื่อการศึกษาเช่นสมุด ปากกา ดินสอ อาหารแห้ง บางคนก็ถวายเงินให้แต่ละรูปตามแต่ศรัทธา ส่วนกรุ๊ปเรามาทำบุญโดยเฉพาะก็ถวายเงินเป็นค่าข้าวสารเป็นกระสอบ ๆ ไป ทางวัดมีใบอนุโมทนาบัตรให้ วัดนี้ก็เช่นกันถอดรองเท้าตั้งแต่ประตูทางเข้าวัดกันเลย ไม่มียกเว้น
ได้เวลาพระฉันแล้วก็ได้เวลาโยมบ้าง เที่ยงนิด ๆ เราก็มาแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร Royal Taste Restaurant ซึ่งไม่ไกลจากวัดไจ๊คะวายเท่าไหร่ ตอนนี้เริ่มจะเดิน barefoot กันถนัดแล้ว ชักจะติดใจก็เลยมีเสียงแหย่ไกด์แบบทีเล่นทีจริงจากลูกทัวร์ว่า “ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องอาหารมั้ยคะ” สอง ไกด์หนุ่มหันไปมองหน้ากันแล้วเงียบเพราะรู้ตัวว่าโดนแซวเข้าให้แล้ว อาหารที่ร้านนี้ก็พยายามทำเอาใจคนไทยสุดฤทธิ์ รสชาติก็พอทานได้ ต้องพยายามปรับตัวหน่อยเพราะคนไทยลิ้นดีและช่างติ ที่แน่นอนก็จะมีกุ้งแม่น้ำเผาพร้อมน้ำจิ้มแทบทุกมื้อ มื้อนี้เป็นมื้อแรกในพม่าทุกคนจึงเอ็นจอยกับอาหารจานนี้กัน ถัดมาก็เป็นปลาทอดและผัดผัก ส่วนแกงจืดก็จืดสนิท มีรสดีกว่าน้ำเปล่านิดนึง บอกแล้วไงว่าต้องทำใจเพราะหลังจากมื้อนี้ แกงจืดทุกร้านจะมีรสเดียวกันหมด ส้มตำรสชาติก็เหมือนตอนเราทำให้ลูกทานเมื่อตอนเขาอายุสามขวบ มีอาหารอย่างอื่นอีกเต็มโต๊ะ แต่อาหารที่ผู้เขียนทานมากคือที่กล่าวมาข้างต้น รับประทานอาหารเสร็จแล้วเรียงแถวกันขึ้นรถ ลูกทัวร์คนที่แซวไกด์ก็โดนเล่นงานคืนทันที “จะเอาผ้าเย็นเช็ดเท้ามั้ยครับ?” เธอหันมาค้อนไกด์ควับ ได้ฮากันทั้งคณะ
ติดตาม part III เร็ว ๆ นี้ครับ