พาเพื่อน ๆ ข้ามรัฐไปตะลุยงาน Vivid Sydney งานแสง-สี-เสียงยามค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลกที่นครซิดนีย์ พร้อมกับพาไปชิมและเที่ยวชมตัวเมืองซิดนีย์โดยรอบ ในสไตล์แบบเด็กรอบนอกเที่ยวกรุง :D กับทริป 3 วัน 2 คืนของเรา มีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น ต้องบอกว่าทริปนี้เราเน้นเดินนะจ๊ะ ขาลากแน่นอน ตามไปดูกันเลย..
วันที่ 1 : ออกเดินทาง, แวะทานข้าว Thai Town, ดูไฟ Opera House และ Royal Botanic Gardens
เราเดินทางออกจากเมือง Brisbane เวลาประมาณบ่ายสองด้วยสายการบินภายในประเทศ มาถึงสนามบินซิดนีย์ประมาณบ่ายสี่โมง ก็เก็บสัมภาระที่โรงแรมใกล้ ๆ กับ Sydney Town Hall ที่เราเลือกพักย่านนี้เพราะว่าเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างโซนแสงสีเสียงอย่าง The Rocks, Sydney Opera House, Darling Harbour และ Thai Town โซนของกินแบบไทย ๆ
แผนที่งาน Vivid ของปี 2016
ของปีล่าสุดสามารถดูได้ในเว็บไซต์ของงานที่ vividsydney.com
บางคนอาจจะสงสัย เอ๊ะ.. ทำไมไปซิดนีย์ต้องไปหาร้านอาหารไทยด้วย นั่นก็เพราะว่าซิดนีย์เป็นแหล่งรวมอาหารไทยแบบแท้ ๆ ทั้งอาหารคาว ขนมหวาน อาหารกล่อง ผลไม้ดอง ของทานเล่น เครื่องปรุงและวัตถุดิบที่เมืองอื่น ๆ ในออสเตรเลียไม่ค่อยมีขายหรือหาทานได้ยาก เพราะฉะนั้นสำหรับเพื่อน ๆ คนไทยที่มาอยู่ออสเตรเลียได้สักพักและไม่ได้อาศัยอยู่ในซิดนีย์ นี่จึงถือเป็นภารกิจหลักในการมาเยี่ยมเมืองแห่งนี้เลยทีเดียว
หลังจากเก็บกระเป๋าและเตรียมของกันแล้ว เราก็พร้อมลุยไปดูสุดยอดแสงสีเสียงระดับโลกกับงาน Vivid Sydney กัน ช่วงที่มีการแสดงไฟนี้จะเป็นฤดูหนาวพอดี แนะนำว่าควรจะพกเสื้อกันหนาวมาด้วยสำหรับตอนกลางวันและกลางคืน ช่วงเย็นจนดึกจะหนาวกว่ากลางวันมาก แต่ก่อนไปขอแวะเติมพลังกินข้าวก่อนนะก๊าบ ระหว่างทางไปไทยทาวน์เราก็เดินผ่านแวะถ่ายรูปที่ Town Hall มีแสงไฟหลากสีส่องกับตัวตึกตระการตาจริง ๆ
ร้านที่เราเลือกมาในคืนนี้ก็คือร้าน Yok Yor (ยกยอ) ทราบว่ารสชาติอาหารของเค้านั้นไม่ต่างจากที่เมืองไทยเลย พนักงานคงตกใจเจ้าคนพวกนี้ไปอดอยากกันมาแต่หนใด ไปกันสี่คนสั่งมาหกอย่าง เริ่มด้วยกล้วยทอด ต่อด้วยก๋วยเตี๋ยวหลอด เครื่องเต็ม $5 ก็อิ่มได้ ตากล้องของเราจัดหนักหมูกรอบผัดพริกขิง, ปูนิ่มผัดผงกะหรี่ กับล้วน ๆ ข้าวแยกต่างหาก ส่วนเรายังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี ละลานตาไปหมด มาจบลงที่ก๋วยจั๊บน้ำข้น โอ้โห เครื่องมาครบจริง ๆ ทั้งหมู ไข่ ไส้ ต้มตุ๋นมาเปื่อย ๆ โดนคนช่วยชิมจนหมด เสิร์ฟใหญ่มั่กๆค่ะ สำหรับเครื่องดื่มที่ทางร้านแนะนำก็คือ ชานมเย็น เป็นเมนูที่ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบสั่งกัน มัวแต่ก้มหน้าก้มตาซัดอาหาร ลืมดูบรรยากาศร้านกันไปเลย ร้านนี้เขาจัดน่ารัก ถ้าใครเดินผ่านหน้าร้านจะรู้สึกเหมือนเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร้าน การจัดไฟ สังเกตจากลูกค้าส่วนใหญ่จะมากันเป็นหมู่คณะ เหมาะกับการกินข้าวกับเพื่อนฝูงชิว ๆ ค่ะ
ก่อนที่จะเดินทางมาซิดนีย์ เรามีการเตรียมพร้อมสำหรับการดูไฟครั้งนี้อย่างดี โดยการโหลดแอพฯ Vivid Sydney ไว้บนมือถือก่อน แอพฯนี้ดีมาก ๆ เลย เพราะเราสามารถเดินไปเรื่อย ๆ ตามจุดสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ที่มีการแสดงแสงสี ซึ่งมันมีเยอะมากหลายที่ เราสามารถเลือกไปชมเฉพาะจุดที่เราสนใจหลัก ๆ ได้ เพราะเวลาแค่ 4-5 ชั่วโมง เราคงเดินเก็บกันทุกอันไม่หมดแน่ ๆ วันนี้เราเลือกที่จะมาชมไฟที่ Sydney Opera House ซึ่งถือเป็นไฮไลท์หลักของงานนี้เลย และ Royal Botanic Gardens ซึ่งในปีนี้นั้นถือเป็นปีแรกที่มีการจัดไฟที่นี่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 200 ปีของสวน เป็นไงล่ะซุ้มไฟ เหมาะแก่การมาเป็นคู่จริง ๆ
ไม่ทันไรก็ดึกซะละ เดินกลับที่พักกว่าจะได้เข้านอนก็ตี 1 ตั้งนาฬิกาปลุกเตรียมตัวสำหรับทริปของวันพรุ่งนี้กันดีกว่า
วันที่ 2 : ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ The Rocks, ทานข้าวที่ Sydney Fish Market, กินขนมที่ Pancake on the Rocks, ชมพิพิธภัณฑ์ใน Darling Harbour, ดูแสงเย็นที่ Mrs Macquarie’s Chair, แวะดูไฟ Vivid ที่ The Rocks, จิบเบียร์เยอรมันที่ Munich Brauhaus
วันนี้เราจะพาไปตะลุยของกินร้านฮ็อตแวะเที่ยวสถานที่ฮิตของที่นี่กัน พร้อมทั้งพาไปจุดเก็บภาพโอเปร่าเฮาส์สวย ๆ แหล่ม ๆ มุมเด็ดของคู่รักเลยทีเดียว บอกก่อนว่าวันนี้เดินทั้งวันเดินจนขาลากแน่นอน
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เช้าจริง ๆ เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 5 โชคดีที่เป็นหน้าหนาว พระอาทิตย์ขึ้นช้าหน่อย ทำให้เราไม่ต้องตื่นเช้ามากนักในการออกไปเก็บแสงแรกของวันกัน หนาวจริงอะไรจริงค่ะ ต้องเดินเร็ว ๆ เพื่อเป็นการเผาผลาญพลังงานให้ร่างกายอุ่นกันนะคะเพื่อน ๆ เราเลือกมาเก็บแสงแรกที่ฝั่ง The Rocks ใกล้กับสะพาน Sydney Harbour Bridge ซึ่งเป็นมุมที่มี Sydney Opera House เป็นแบคกราวด์ เสียดายที่วันนั้นเมฆเยอะไปนิดแต่ก็ได้วิวสวย ๆ ไปอีกแบบ
หลังจากเก็บภาพกันเยอะแล้วก็ถึงเวลาเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายของเราด้วยอาหารมื้อสำคัญมื้อแรกของวัน เรามุ่งตรงไปยัง Sydney Fish Market เป็นอีกที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับคนชอบอาหารทะเล เพราะที่นี่เป็นตลาดปลาและอาหารทะเลที่มีขายกันแบบสด ๆ เพื่อให้เราซื้อกลับไปทำกินเองที่บ้าน และยังมีร้านขายแบบให้เราทานกันในตลาดได้เลยอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นปลาดิบ ซาชิมิหลากหลายชนิด ซูชิ หอยนางรม หอยเม่น กุ้ง หอย ปู ปลา อาหารทะเลย่าง ทอด อบ มากันครบ นอกจากนี้ยังมีร้านขายกาแฟ ผักผลไม้สด และอาหารหวานไว้ล้างปากอีกด้วย หรือสำหรับใครที่ชอบการทำอาหาร ก็มีร้านขายอุปกรณ์ทำอาหารด้วยนะ
Sydney Fish Market
เราตัดสินใจไปต่อของหวานกันที่ร้านอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ Pancake on the Rocks สาขา Darling Harbour ใช้เวลาเดินจาก Fish Market ประมาณ 10-15 นาทีก็ถึง ตามทางเรายังแวะถ่ายรูปกับใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย ได้บรรยากาศเมืองนอกเมืองนาจริง ๆ ร้าน Pancake on the Rocks อยู่ใต้สะพาน Pyrmont Bridge เราสั่งแพนเค้กและเครปมาแชร์กัน รสชาติช่างแตกต่างจากรสชาติของแพนเค้กและเครปสาขาที่บริสเบนเหมือนที่ใครหลายคนบอกจริง ๆ ใครชอบกินแพนเค้กลองมาชิมกันดูนะ พุงกางกันแล้ว เราก็กลิ้งออกจากร้านข้ามสะพาน Pyrmont Bridge กลับไปยังฝั่งที่พักของเรา
สะพาน Pyrmont Bridge
ระหว่างทางเพื่อน ๆ สามารถแวะชม Australian National Maritime Museum, ชมชีวิตสัตว์น้ำที่ Sydney Sea Life Aquarium, เล่นกับน้องหมีโคอาล่าและสัตว์หลากหลายชนิดที่ Wild Life Sydney Zoo, และ Madame Tussauds ไปดูหุ่นขี้ผึ้งดาราและบุคคลสำคัญของโลก
สถานที่ท่องเที่ยวใน Darling Harbour
เดินย่อยอาหารกันได้ที่แล้ว เย็นนี้เรากะจะพาไปชมพระอาทิตย์ตกดิน ณ จุดชมวิวอันโด่งดังของที่นี่เลย นั่นก็คือ Mrs Macquarie’s Chair จุดชมวิวริมน้ำที่สามารถมองเห็น Sydney Opera House และวิวเมือง พร้อมดูพระอาทิตย์ตกดิน เราสามารถเดินมาได้ผ่านสวน Royal Botanic Gardens ขอบอกว่าหนาวมั่ก ๆ เพราะลมค่อนข้างแรง
ณ จุดนี้เราจะเห็นตากล้องมากมายและคู่รักรวมไปถึงนักท่องเที่ยว ได้มาคอยดูพระอาทิตย์ตกกัน ทีมเรามารอเก็บภาพกันตั้งแต่ 4.30pm นั่งชิลชิลคุยกันพร้อมเก็บภาพไปด้วยยาวจน 6 โมงเย็น เวลานี้สำหรับช่วงหน้าหนาวถือว่ามืดสนิทแล้ว
จุดชมวิว Mrs Macquarie’s Chair
ขากลับสวนปิดทางเดินที่เราเดินมาตอนแรก ทำให้พวกเราต้องเดินอ้อมกลับออกมาอีกทางซึ่งไกลพอสมควรกว่าจะเดินไปถึงร้าน Munich Brauhaus ร้านขาหมูเยอรมันชื่อดัง มื้อค่ำของเราวันนี้ ซึ่งอยู่บริเวณ The Rocks ที่เรามากันเมื่อช่วงเช้า ระหว่างทางก็เก็บแสงไฟแมพปิ้งตามตึกต่าง ๆ ไปด้วย ในตรอกทางเดินก่อนจะไปถึงร้าน มีความแนวของกราฟิตี้ การตกแต่งไฟ และร้านแถวนั้น ถือเป็นสเน่ห์ของร้านอาหารแถวนี้เลยทีเดียว
การฉายแสงสีเสียงบนอาคารในฝั่ง The Rocks
ใครจะมาร้านนี้ ถ้าบุ้คล่วงหน้าได้จะดีมาก เพราะคนต่อคิวเยอะมากแม้ว่าร้านจะมีที่นั่งเยอะก็ตาม อาหารที่สั่งก็ค่อนข้างใช้เวลาจิบเบียร์รอวนไป อย่างตอนที่เราไปก็บอกว่ารออาหารจานหลักประมาณ 40 นาทีนะ ซึ่งพวกเราก็โอเค นั่งจิบเบียร์เยอรมันเย็น ๆ ดูการแสดงของคุณลุง การเล่นดนตรี และการให้แขกมีส่วนร่วมสนุกสนานกันด้วย พนักงานในร้านทุกคนแต่งตัวตามแบบบาวาเรียน ทั้งผู้หญิงผู้ชายน่ารักกันจริง ๆ มีแต่เสียงหัวเราะและความสนุกสนานกันทั้งห้องอาหาร ใคร ๆ บอกว่ามาที่นี่ห้ามพลาดขาหมู เราก็จัดขาหมูมา 1 ที่ และไส้กรอกเยอรมันอีก 1 ที่ พร้อมกับสั่งขนมปังกระเทียมเพื่อรองท้องระหว่างรออาหารจานหลัก ขนมปังกระเทียมที่นี่สุดยอดมาก มาแบบเป็นก้อนกลมใหญ่ ๆ หั่นแบ่งมาแล้ว มีดยังคาอยู่บนขนมปังอยู่เลย ซึ่งบนตัวขนมปังมีการทาเนยกระเทียมมาให้ จะกินแบบนั้น หรือจะจิ้มซอสครีมก่อนก็อร่อยดี ขาหมูเยอรมันหนังกรอบ เนื้อนุ่มมาก เป็นขาหมูที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยชิมมา เพื่อน ๆ คนไหนที่ชอบขาหมูกรอบ ๆ พลาดไม่ได้เลยนะ จานนี้ 5 คนก็ยังกินไม่หมดเลยล่ะ
ร้าน Munich Brauhaus
หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็ออกมาเดินเก็บแสงไฟต่อบริเวณ The Rocks ฝั่งนี้เค้าจะเน้น Mapping แสงไฟลงบนอาคารและยังสามารถมองเห็นวิวแสงสีบน Opera House ได้อีกด้วย ถือว่าเป็นวิวที่ดีมาก ๆ รู้สึกว่าสวยกว่าไปดูตรงข้างหน้าที่จริงอีกนะ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แป๊ป ๆ ก็ใกล้จะ 5 ทุ่มแล้วซึ่งเป็นเวลาที่ Vivid กำลังจะปิดไฟ
วิวฝั่ง The Rocks โดยมองมาจาก Opera House
Opera House โดยมองมาจากฝั่ง The Rocks
เราก็มุ่งหน้าไปหาอะไรแซ่บ ๆ กระแทกปากก่อนนอนดีกว่า ที่ซิดนีย์มีข้อดีอย่างนึงคือร้านที่นี่เค้าปิดกันดึกมากหิว ๆ ก็เดินไปหาไรกินได้ โดยคืนนี้เรามุ่งตรงไปยังร้านข้าวสารในไทยทาวน์ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องส้มตำ เผ็ดได้ใจจริง ๆ และร้านยังมีขนมหวานวางขายอยู่หน้าร้านด้วยนะ
2 คืน 2 วัน ผ่านไปแบบมึน ๆ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้วเหรอ!? เดี๋ยวพรุ่งนี้จะต้องเตรียมตัวไปชิมขนมหวาน อาหารร้านเด็ด และเก็บรูปสวย ๆ พร้อมซื้อของฝากแน่นอน
วันที่ 3 : ทานเช้าที่ Patisserie ชื่อดัง, กินขนมที่ Lindt Café, ชมโบสถ์ขึ้นชื่อของออสเตรเลีย St Mary’s Cathedral, ซื้อของฝากที่ Thai Town
แน่นอนว่าวันสุดท้ายของทริปการไปเที่ยว เน้นเดินชิลชมเมือง ซื้อของฝาก และเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน เราเลือกไฟลท์สุดท้ายในการเดินทางกลับไปยังบริสเบน จึงทำให้เรามีเวลาเดินเล่นกันจนถึงประมาณ 4 โมงเย็น มาดูกันซิว่าในเวลาเพียงครึ่งวัน ปีศาจน้อยจะพาเพื่อน ๆ ไปชิมและเที่ยวกันได้กี่ที่
เช็คเอาท์เสร็จเราก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่หลักของใครของมัน นั่นก็คือการเดินเล่นชอปปิ้งนั่นเอง เราเริ่มต้นกันที่ร้าน Lorraine’s Patisserie เป็นร้านเหมือนเบเกอรี่เล็ก ๆ อยู่ในตรอก ร้านเล็กมากจนตกใจ แต่ขึ้นชื่อมากของคนในพื้นที่ ลูกค้ายืนได้ไม่ถึง 4 คนในร้าน ของที่โชว์หน้าร้านก็มีแค่ไม่กี่อย่าง แต่คนก็มาเรื่อย ๆ ตอนเช้ายังไม่ได้กินอะไร เราก็เลยจัดครัวซองไส้แฮมชีส ราคาเพียง $6 รอประมาณ 10 นาที เพราะเขาพิถีพิถันมาก พนักงานหยิบครัวซองไปผ่า ใส่ไส้ แล้วนำเข้าเตาอบ ออกมาหอมกรุ่นอุ่น ๆ เลย เรายังหยิบบราวนี่มาอีกอันเพื่อเป็นของหวานล้างปาก ครัวซองพอใส่ไส้และเข้าเตาอบ ขนาดมันฟูขึ้นมาจากตาเห็นเกือบ 2 เท่าแหนะ กินกันสองคนก็อิ่มนะ แป้งกรอบเนื้อในนุ่ม ไส้แฮมทะลักล้นออกมา คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม อาหารเช้าแบบง่าย ๆ แต่ไม่ธรรมดาอันนี้ ส่วนบราวนี่ร้านนี้ก็เด็ดใครชอบแบบนิ่ม ๆ ก็กลับเอาเข้าไมโครเวฟสัก 10 วินาที พอให้แป้งนุ่มและชอคโกแลตละลายอุ่น ๆ โอ้สวรรค์รำไร คนชอบขนมแนวนี้ห้ามพลาด
Lorraine’s Patisserie
จาก Lorraine’s Patisserie เราก็ไปต่อ Lindt Chocolate Café ที่ Martin Place ที่ ๆ ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วออสเตรเลียในปี 2014 เกี่ยวกับการจับตัวประกัน ตอนแรกก็กล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ แต่ก็เห็นคนในร้านเยอะแยะครึกครื้นกันดี เราสั่งวาฟเฟิลฮาเซลนัทมากับฮอทช็อคโกแลตและไอซ์ชอคโกแลต เป็นความอร่อยไสตล์ของ Lindt จริง ๆ ในร้านยังมีชอคโกแลตหลากหลาย รสแปลก ๆ ที่ไม่เห็นตามในห้างทั่วไปให้เราซื้อกลับได้ด้วย ลองมาชิมกันดูนะ
อิ่มกันแล้วก็ไปเดินย่อยกันดีกว่า สถานที่ที่เราจะไปเป็นที่ ๆ พลาดไม่ได้สำหรับคนชอบถ่ายรูป นั่นก็คือ St Mary’s Cathedral ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Hyde Park บริเวณสวนมีน้ำพุ รูปปั้นสวยงามอลังการเหมาะแก่การเก็บภาพด้วยเหมือนกัน แค่วิวข้างนอกของ St Mary’s Cathedral ก็สวยงามมากแล้ว เข้าไปในโบสถ์เหมือนหลุดมาอยู่อังกฤษยังไงยังงั้น(พูดเหมือนเคยไป) ภายในตัวโบสถ์มีความสวยเวอร์มาก บรรยายไม่ถูกเลย ความรู้สึกเหมือนย้อนยุคไปในสมัยโบราณกาลหลุดเข้าไปอยู่ในกรุงโรมหรือยังไง ด้วยความที่ภายในโบสถ์นั้นเงียบ และกว้าง หลังคาสูง มืดด้วยแสงสลัว ๆ ทำให้อินไปกับความศักดิ์สิทธิ์และมนต์เสน่ห์ของโบสถ์แห่งนี้ กระจกสีรูปภาพ และตัวรูปปั้นของบุคคลสำคัญทางศาสนาถูกจัดแต่งออกมาได้อย่างสวยงามมาก ๆ
St Mary’s Cathedral
ตรงข้าม Hyde Park อีกฝั่ง เดินเลยถนนเส้น Castlereagh St ไปก็จะเป็นโซนห้างใหญ่ ๆ สำหรับคนชอบมาการอง มีร้าน Laduree มาการองจากฝรั่งเศสอยู่ภายในห้าง Westfield หากเดินตามถนนเส้น Pitt St ก็จะเจอกับ The Galeries ซึ่งมี MUJI (ที่บริสเบนยังไม่มี) ร้านหนังสือและเครื่องเขียนที่ใหญ่มาก ๆ และมีโซนของมาจากญี่ปุ่นด้วยคือร้าน Kinokuniya ที่คนนิยมมาซื้ออ่านหนังสือและนั่งร้านคาเฟ่ชื่อดังที่อยู่ข้างใน ร้าน Black Star Pastry กับเค้กขึ้นชื่อของร้าน Strawberry watermelon cake และในห้างนั้นยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกหลายร้าน
ร้าน Laduree
ก่อนกลับวันนี้เราไปเดินเล่นกันใน Thai Town และเลือกแวะทานข้าวที่ร้านอาหารไทย Abb Air (แอ๊บแอ๊) ซึ่งหลายคนแนะนำเรามา ในร้านมีการตกแต่งด้วยของใช้บางอย่างที่ดูไปแล้วทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามีคนดังของไทยเป็นหุ้นส่วนด้วยมั้ย สังเกตดูกันเอาเองนะว่าเราหมายถึงใคร เย็นตาโฟแซบมาก ๆ เผ็ดร้อนเจง ๆ ก๋วยเตี๊ยวต้มยำก็เป็นรสชาติแบบไทย ร้านนี้ยังมีจานพิเศษคือข้าวเหนียวห่อกับพวกเนื้อหรือหมู ไม่ว่าจะเป็นแบบแห้ง แดดเดียว ฝอย ทอด อารมณ์ประมาณห่อไปกินที่ทำงานหรือห่อกลับบ้าน มีทั้งข้าวดำและข้าวเหนียวธรรมดา รสชาติใช้ได้เลย
ร้าน Abb Air (แอ๊บแอ๊)
ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะแวะไปซื้อขนมและของฝากในไทยทาวน์ ไม่ว่าจะเป็น เครปคุณลุงสไตล์แบบไทย ๆ ขายหน้าโรงเรียน แป้งกรอบ ๆ ไส้เยอะ ๆ และ ร้านเจริญชัย ที่มีทั้งผลไม้ดอง อาหารกล่อง เมนูแนะนำคือ หมูเส้น อร่อยขนาดต้องมีเพื่อนจากบริสเบนฝากซื้อกลับหลายกล่องเลยทีเดียว ข้าวเกรียบปากหม้อ ทุเรียนสด เหมือนทุกอย่างจะมาอยู่ในร้านนี้ ร้านตกแต่งน่ารัก เป็นคาเฟ่นั่งกินได้ด้วยนะ
ร้าน เจริญชัย
ยัง ยังไม่จบ ทานข้าวแล้วเราก็ต้องไปปิดท้ายด้วยของหวานสไตล์ญี่ปุ่น Matcha Latte ที่ร้าน Café Cre Asion มีชา เครื่องดื่ม และขนมสไตล์ญี่ปุ่นแบบชาเขียวเป็นธีมหลักของร้าน สำหรับคนที่ไม่ชอบหวาน อาจจะต้องบอกขอลดปริมาณน้ำตาลลงนิด กำลังนั่งจิบชาเพลิน ๆ เหลือบไปเห็นนาฬิกา โอ๊ะโอ ได้เวลาอำลาซิดนีย์กันแล้ว
Café Cre Asion
เป็นไงกันบ้างเพื่อน ๆ ทริปดูไฟแสง-สี-เสียง เที่ยวชมและชิมของอร่อยที่ซิดนีย์ของเรา พอจะเป็นแรงบันดาลใจกระตุ้นความอยากไปเที่ยวกันได้บ้างมั้ย เพื่อน ๆ คนไหนมีที่เด็ด ๆ หรือประสบการณ์เจ๋ง ๆ ในซิดนีย์ ก็เล่ามาสู่กันฟังได้นะผ่านคอมเม้นต์ใต้บทความนี้เลย..